บทนำ
กุ้งเป็นสินค้าทางการเกษตรที่ทำเงินตราเข้าประเทศอย่างมากมายมหาศาล ในปีที่แล้วเฉพาะจากเดือน ม.ค. ถึงเดือน ส.ค. เราได้เงินจากการขายกุ้งถึง 63,205 ล้านบาท เรื่องของกุ้งกุลาดำเราผ่านวิกฤติการณ์มาหลายหน ล้มลุกคลุกคลานมาก็หลายหน แต่เราก็ลุกขึ้นใหม่ได้ทุกครั้ง นับตั้งแต่ตายเดือน หัวเหลือง ดวงขาว และสุดท้ายคือไม่โต สำหรับประเทศอื่นแล้วเขาล้มแล้วมักจะลุกไม่ค่อยขึ้น ต้องใช้เวลาพักฟื้นนาน แต่ด้วยความสามารถของเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งของไทยเรา ทำให้ฟื้นยืนหยัดขึ้นมาได้ทุกครั้งในเวลาที่ค่อนข้างจะรวดเร็ว ปัญหาเรื่องของยาต้องห้ามและยาตกค้าง ก็คงเป็นเช่นเดียวกัน มันคงจะไม่พ้นความสามารถของคนไทยเราอีกเป็นแน่
ในขณะนี้กุ้งของไทยเรามีปัญหามากมายในการส่งออก อาทิเช่น ปัญหายาต้องห้าม ยาตกค้าง ต้นทุนของการผลิตที่สูงกว่าประเทศอื่น การลักลอบนำเอากุ้งประเทศอื่นเข้ามาผลิตแล้วส่งออกในนามกุ้งไทย ( ที่อาจจะมียาตกค้างแล้วทำให้กุ้งไทยเสียชื่อ และทำให้กุ้งเราราคาตก ) ในบางปัญหาตัวเกษตรกรเองก็สามารถแก้ได้ เช่นไม่ใช้ยาต้องห้าม ถ้ามีการใช้ยา ( ที่อนุญาตให้ใช้ได้ ) ก็ต้องหยุดยาก่อนจับตามกำหนด ส่วนในเรื่องของการปนยาต้องห้ามในวิตามิน ในสารเสริมภูมิต้านทาน ในยาที่อนุญาตให้ใช้ และเรื่องของกุ้งลักลอบนำเข้าก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของรัฐบาล แต่เราต้องช่วยกันผลักดันโดยผ่านชมรมผู้เลี้ยงกุ้งต่าง ๆ
ถ้าเราเลี้ยงกุ้งในกรอบของซีโอซี ลดการใช้ยาและสารเคมีต้นทุนจะต่ำลง ใช้ยาให้ถูกต้อง ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม ก็จะไม่โดนกีดกันทางการค้า
การเลี้ยงกุ้งในกรอบของซีโอซี เป็นการเลี้ยงกุ้งในแนวชีวภาพแต่ไม่ได้ห้ามการใช้ยาและสารเคมี เพียงแต่ให้ใช้ได้เฉพาะยาและสารเคมีที่กรมประมงอนุญาตเท่านั้น และต้องมีระยะถอนยาตามที่กำหนด ก่อนที่จะจับกุ้งต้องนำกุ้งไปตรวจยาตกค้างก่อน น้ำที่ทิ้งออกนอกฟาร์มต้องบำบัดก่อน หรือมีของเสียไม่เกินค่ามาตรฐานที่กำหนด ตะกอนเลนต้องจัดเก็บให้เรียบร้อย
เรื่องของการเลี้ยงกุ้งโดยไม่ใช้ยาและสารเคมีไม่ใช่ของแปลก มีหลายคนทำได้มานานหลายปีแล้ว ส่วนใหญ่แล้วผู้ที่เลี้ยงกุ้งได้โดยไม่ใช้ยาและสารเคมีมาก่อนนั้น ไม่ได้ทำเพราะถูกบังคับเพียงแต่คิดว่า นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุด ที่จะทำให้สามารถเลี้ยงกุ้งได้อย่างยั่งยืนและมีรายได้ที่มั่นคง เพราะได้สังเกตเห็นว่าการใช้สารเคมีทำให้สภาพบ่อเสื่อมโทรมลง และการให้ยาก็ไม่เห็นว่าจะทำให้กุ้งรอดได้ ถ้าไม่ใช้ยาและสารเคมีก็จะประหยัดไปได้หลายหมื่นบาทต่อกุ้งหนึ่งบ่อ ( ในอดีตมีหลายรายที่เสียค่ายาและสารเคมีเป็นแสนต่อการเลี้ยงกุ้งหนึ่งบ่อ ขนาด 5 ไร่ )
สำหรับการเลี้ยงกุ้งในแนวชีวภาพนั้น ตัวเกษตรกรผู้เลี้ยงต้องปรับเปลี่ยนแนวความคิดและวิธีการจากเดิมที่เคยปฏิบัติ ต้องดูแลเอาใจใส่ อยู่กับบ่อคอยดูแลอย่างใกล้ชิด ถ้ามีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นจะได้แก้ไขแต่เนิ่น ๆ หลักการพื้นฐานของแนวนี้ก็คือต้องเตรียมทุกอย่างให้พร้อมและดีที่สุด พื้นต้องดี น้ำต้องดี ลูกกุ้งต้องดี ออกซิเจนต้องพอ ต้องทำให้ลูกกุ้งแข็งแรงมีภูมิต้านทาน (ด้วยอาหารธรรมชาติ) อาหารต้องไม่เกินหรือขาดนิด ๆ
หวังว่าหนังสือเล่มนี้จะสามารถให้แนวความคิดใหม่ ๆ เพื่อให้ท่านนำไปปรับปรุงใช้ จนสามารถก้าวไปสู่การเลี้ยงในกรอบของซีโอซีได้
การเลี้ยงกุ้งในกรอบของซีโอซี
มาตรฐานซีโอซีมีคำจำกัดความง่าย ๆ ว่า เลี้ยงกุ้งยั่งยืน ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม กุ้งที่ได้มีคุณภาพ ปราศจากสารและยาตกค้าง คำว่าเลี้ยงกุ้งยั่งยืนหมายถึงว่าคนเลี้ยงอยู่ได้และสามารถเลี้ยงไปได้ถึงรุ่นลูกรุ่นหลาน กรอบและวิธีปฏิบัติของซีโอซีไม่ได้เป็นสิ่งที่จะทำให้เกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งทั่วไปเลี้ยงกุ้งไม่ได้ แต่เป็นกรอบข้อปฏิบัติที่ประเทศผู้ซื้อจะนำมาใช้เพื่อเป็นมาตรการรักษาความปลอดภัยให้กับคนของเขาเองที่เป็นผู้บริโภค ถ้าเราอยากจะขายกุ้ง เราก็ต้องทำตามกฎเกณฑ์ของเขา ก็ต้องมาปรับเปลี่ยนวิธีการเลี้ยงใหม่
สำหรับการเลี้ยงกุ้งในกรอบของซีโอซีหรือแนวชีวภาพ สิ่งที่จำเป็นและสำคัญที่สุดคือตัวผู้เลี้ยงเอง ที่จะต้องปรับเปลี่ยนแนวคิด วิธีปฏิบัติ ให้ความรักและเอาใจใส่กับพื้นบ่อ น้ำในบ่อ กุ้ง ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ต้องดูแลบ่ออย่างใกล้ชิดตลอดเวลา เพราะต้องใช้ยุทธวิธีการป้องกัน ไม่ใช่การแก้ เมื่อจะลดการใช้ยาและสารเคมี ก็จำเป็นต้องคอยเฝ้าระวังสังเกตความเป็นไปของบ่อ ว่ามีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร การจัดการกับปัญหาที่เพิ่งจะเริ่มต้น สามารถแก้ได้ไม่ยากและไม่จำเป็นต้องใช้ยาและสารเคมี แต่ถ้าปล่อยให้ปัญหาเกิดขึ้นหนักและเรื้อรังแล้ว การแก้ไขจะยาก จำเป็นต้องใช้ยาและสารเคมีมาช่วย แต่แน่นอนที่สุดการเตรียมบ่อให้ดีที่สุดจะทำให้ปัญหาน้อยลง
ปกติเมื่อมีปัญหาขึ้นมา เกษตรกรมักจะโทษโน่นโทษนี่โดยไม่พิจารณาตัวเอง ก็ในอดีตเราเป็นแชมป์ได้ดีมาตลอดนี่นา ทีนี้พอกุ้งไม่ติด เดือน-สองเดือนร่วง หรือ80 -90 วันกุ้งเริ่มมีอาการ ก็ไปโทษลูกกุ้ง อากาศ น้ำ อาหาร หรือโดนวางยาเพราะคนอิจฉา ว่าเข้าไปโน่น จริงอยู่ก็เคยทำมาแบบนี้มาตลอดไม่เห็นจะมีปัญหา แต่ลองย้อนมาดูตัวเราเองก่อน ลองดูว่าที่ผ่านมานั้น เลี้ยงกุ้งยากขึ้นมั๊ย ผลผลิตต่ำลงหรือเปล่า บางรอบก็ไม่ได้ ถ้าเป็นแบบนี้ ก็ควรที่จะหยุดและคิดดูให้ดีว่า มันเกิดอะไรขึ้น ลองออกไปดูคนอื่นเขาบ้าง ว่าเขาทำยังไงถึงยังเลี้ยงได้และมีผลผลิตที่ดี ลองไปคุยกับคนที่ทำได้ดี สอบถามแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน เปรียบเทียบดูว่ามีข้อแตกต่างกันตรงไหน
เริ่มที่การเตรียมบ่อ มีความแตกต่างกันอย่างไร ผลผลิตต่างกันอย่างไร เช่นเมื่อฉีดเลนเสร็จ มีการตากบ่อแห้ง กับฉีดเลนแต่ไม่ได้ตากบ่อ ผลผลิตจะต่างกันไหม หรือว่ามีการบำบัดและฟื้นฟูสภาพดินก้นบ่อด้วยการไถพรวน หรือคราดเลนกับที่ไม่ได้ทำ มีผลผลิตที่ต่างกันหรือไม่ การพักบ่อนานกับไม่ได้พักบ่อต่างกันอย่างไร ถ้ามีผลผลิตที่ได้ต่างกันหรือเลี้ยงได้กับไม่ได้ ก็ควรทำการปรับปรุงวิธีการของตัวเราเองขึ้นมาใหม่
หรือแม้กระทั่งวิธีเตรียมน้ำ วิธีการหาซื้อลูกกุ้ง วิธีการให้อาหารและเช็คยอ การให้อากาศ การคุมสภาพน้ำในบ่อ ฯลฯ ทุกขั้นตอนต้องตรวจสอบและรื้อระบบกันใหม่ทั้งหมด เพราะวันนี้ ปลายปี 2545 เราไม่มีจะเสียอีกแล้ว ถ้าพลาดอีกก็หมดแรงหมดใจและหมดเงินกันแล้ว แต่อย่างหนึ่งที่ต้องระวังก็คือ การเอาเทคนิควิธีการใหม่เข้ามาใช้ต้องรู้จริง ไม่เช่นจะเกิดปัญหาขึ้นได้
วิธีการเลี้ยงกุ้งไม่มีรูปแบบตายตัว ไม่มีสูตรสำเร็จ ต้องพลิกแพลงแก้ไขตามสถานการณ์ ตามสภาพแวดล้อมและฤดูกาล
ชมรมผู้เลี้ยงกุ้งคุณภาพ ( ซีโอซี ) จังหวัดระยองยินดีที่จะให้คำปรึกษาแนะนำ แลกเปลี่ยนความรู้และปัญหาต่าง ๆ เกี่ยวกับการเลี้ยงกุ้ง เชิญติดต่อได้ที่ชมรมฯ หรือกรรมการของชมรมฯ
การจัดการพื้นบ่อ
พื้นบ่อนั้นมีความสำคัญมาก เพราะกุ้งนั้นอาศัยอยู่ที่พื้นบ่อ หากินที่พื้นบ่อ เมื่อมีปัญหาหรือเครียดหรือจะลอกคราบก็จะหมกอยู่ที่พื้นบ่อ ฉะนั้นการจัดการพื้นบ่อให้ดี ให้อยู่ในสภาพที่กุ้งจะอยู่อาศัยอย่างมีความสุขก็นับว่าเป็นสิ่งที่มีความจำเป็นมาก สิ่งที่เคยทำกันมาก็คือหลังจากที่จับกุ้งแล้วก็มักจะฉีดเลน บางรายฉีดเลนเสร็จก็เอาน้ำเข้าบ่อเลย บางรายก็พักบ่อทำการตากบ่อให้แห้ง จะเตรียมบ่อด้วยวิธีใด ๆ ก็ตามทำแล้วยังเลี้ยงกุ้งได้ มีผลผลิตดีก็ไม่น่าจะมีปัญหา แต่อย่าลืมว่าบ่อที่เลี้ยงมานานย่อมจะมีการเสื่อมสภาพ เหมือนกับการปลูกพืชซ้ำ ๆ ในที่เดิม ๆ เป็นเวลานาน ๆ ก็ต้องมีการแก้ไขฟื้นฟูสภาพให้มีความอุดมสมบูรณ์ขึ้น ผลผลิตจึงจะดีขึ้น
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือความหมักหมมที่พื้นบ่อสะสมเอาไว้ เราต้องแก้ที่จุดเริ่มแรกสุดซึ่งก็คือพื้นบ่อก่อน การจัดการพื้นบ่อแบ่งได้เป็นสองแบบคือ เอาเลนออกกับไม่เอาเลนออก
กรณีที่เอาเลนออก
หลังจากที่เอาเลนออกแล้ว ถ้าไม่เคยทำการปรับปรุงพื้นบ่อมาก่อนเลยให้ใช้รถไถเดินตาม หรือรถไถพรวน ทำการไถพลิกดินพื้นบ่อที่อยู่ลึกจากผิวหน้าดินให้ขึ้นมาให้ได้รับออกซิเจนและแสงแดด เพื่อบำบัดสิ่งที่เป็นโทษที่ฝังตัวอยู่ใต้ดินให้ดีขึ้น ( สำหรับบ่อที่ดินเป็นกรดให้ข้ามไปดูรายละเอียดในหัวข้อ การไม่เอาเลนออก ) ให้ทำการไถพรวนให้ทั่วทั้งบ่อแล้วพักไว้สักอาทิตย์หนึ่ง แล้วทำการไถใหม่ ทำการไถพรวน 2-3 หน แต่เมื่อไถเสร็จแต่ละรอบแล้วถ้าจะราดจุลินทรีย์น้ำขยายไร่ละ 50 ลิตรได้ก็ยิ่งดี และถ้าในการเลี้ยงครั้งที่แล้ว ทำสีน้ำไม่ค่อยขึ้นก็อาจจะใช้ปุ๋ยคอก ปุ๋ยอินทรีย์ ปุ๋ยสูตร 2 หรือปุ๋ยที่มีธาตุรองมาก ๆ หรือโบกาชิโรยบาง ๆ หรือใช้น้ำหมักชีวภาพราดพื้นไปพร้อมกับการไถเพื่อให้คลุกเคล้าลงไปในดินด้วยก็ดี เสร็จแล้วให้ไถคราดให้เรียบ ไม่จำเป็นต้องบดอัด เมื่อรวมเวลาบำบัดแล้วเท่ากับว่าได้พักบ่อประมาณหนึ่งเดือนซึ่งเหมาะสมมาก
ในรูปแบบของคุณอานนท์ อารีราษฎร์ กลุ่มเนินพระนั้น ตามปกติเมื่อเอาเลนบางส่วนที่อยู่ตรงกลางออกแล้ว ก็จะใช้วิธีคราดพรวนเลน บำบัดพื้นบ่อ แต่เมื่อเลี้ยงไปสองหรือสามรอบแล้วหรือสังเกตว่าผลผลิตเริ่มต่ำลงก็จะทำการไถพรวนอีกครั้ง ซึ่งก็ทำให้สามารถเลี้ยงในที่เดิมมาไม่ต่ำกว่า 15 ปีแล้ว โดยยังได้ผลผลิตไม่ต่ำว่าไร่ละ 800 กก.
กรณีที่ไม่เอาเลนออก
บ่อที่ดินเป็นกรดนั้นไม่สามารถไถพลิกดินหรือเปิดหน้าดินได้ เพราะจะทำให้ บ่อมีสภาพเป็นกรดมากขึ้น น้ำจะเป็นสนิมแดง การไม่เอาเลนออก แต่ใช้วิธีคราดพรวนเลนบำบัดแทน ก็จะเป็นวิธีที่ดีที่สุด เพราะเลนที่อยู่ในบ่อจะไปเคลือบผิวดิน ทำให้กรดที่อยู่ใต้ชั้นดินไม่สามารถขึ้นมามีผลต่อกุ้งได้ และในเมื่อทำการบำบัดแล้วเลนก็จะเป็นเลนที่ดี ไม่มีผลร้ายใด ๆ
หรือในกรณีที่มีเลนไม่มาก เราก็ไม่จำเป็นต้องเอาเลนออกก็ได้ เราสามารถทำการบำบัดพื้นบ่อได้เช่นเดียวกับบ่อที่ดินเป็นกรดดังนี้ โดยให้ทำการคราดซุยเลนพื้นบ่อเพื่อบำบัด โดยใช้คราดแบบคราดไถนา หรือใช้แป๊บ 3-4 นิ้วและเศษเหล็กมาเชื่อมให้เป็นซี่คราด หรือใช้วิธีลากโซ่ เอาน้ำเข้าพอให้แฉะๆ แล้วใช้คนหรือกว้านลาก ทำการคราดทั่วทั้งบ่อ 2-3 วันครั้ง ซัก 4-5 หน
หรือจนกว่าจะเกิดการย่อยสมบูรณ์ ซึ่งจะใช้เวลาในการบำบัด 2-3 อาทิตย์
ถ้าจะใช้เรือคราดพรวนโซ่หรือเรือคราดพรวนน้ำที่ประดิษฐ์คิดค้นโดย ผอ.ศพช.ฉะเชิงเทรา คุณอนันต์ ตันสุตะพานิช ก็ต้องเอาน้ำเข้าให้ได้ระดับก่อน ให้ทำการคราดพรวนทุกวัน ๆ ละครั้ง พร้อมทั้งตีน้ำให้อากาศและทำการปรับ พีเฮชและอัลคาไลน์ เพื่อให้จุลินทรีย์ทำงานได้เต็มที่ ตะกอนเลนของเสียก็จะย่อยสลายตามกลไกธรรมชาติ กลับกลายเป็นสายใยห่วงโซ่อาหารที่ปลอดภัย เมื่อสภาพในบ่อเข้าสู่ภาวะปกติสมดุลแล้วก็สามารถปล่อยลูกกุ้งได้ ซึ่งจะใช้เวลา 3-4 อาทิตย์
การบำบัดพื้นบ่อด้วยวิธีคราดพรวนเลนนั้น มีบางรายก็ใช้จุลินทรีย์ช่วย บางรายก็ไม่ใช้ ก็อยู่ที่วิธีการของแต่ละคน ขอให้ผลที่ได้ออกมาดีก็พอ แต่ถ้าอยากจะใช้ก็สามารถใช้ได้ตามรูปแบบที่เคยใช้ในการเลี้ยง
สำหรับระบบการเลี้ยงแบบไม่ทิ้งน้ำและตะกอนเลนออกสู่ภายนอก ตามแบบของคุณอนันต์ ตันสุตะพานิช นั้นท่านสามารถติดต่อขอเอกสารและรายละเอียดได้ที่ศูนย์พัฒนาการเพาะเลี้ยงชายฝั่งฉะเชิงเทรา หรือติดต่อขอเข้าชมฟาร์มสาธิตได้ที่ฟาร์มของคุณนิรุตติ เจริญรื่น ถนนกะเพรา ตำบลเนินฆ้อ ระบบนี้ทำได้และได้ผลผลิตที่ดีด้วย แต่ต้องมีการจัดรูปแบบฟาร์มใหม่ทั้งหมด ระบบการให้อากาศก็ต้องใช้ซูเปอร์ชาร์จช่วย สำหรับฟาร์มของคุณนิรุตตินั้นถึงแม้ว่าไม่มีบ่อเก็บเลนก็ยังได้รับการรับรองซีโอซี เนื่องจากไม่มีการทิ้งน้ำทิ้งเลนออกนอกฟาร์ม แต่ผู้ที่จะใช้ระบบนี้ต้องศึกษาให้ดีก่อน
อาหารธรรมชาติ
การเลี้ยงกุ้งในแนวชีวภาพจะเน้นที่การทำให้ลูกกุ้งแข็งแรง สภาพที่อยู่อาศัยของกุ้งต้องสะอาดและดี จึงต้องเตรียมบ่อให้พร้อมให้ดีที่สุด ให้มีอาหารธรรมชาติพวกไร โรติเฟอร์ โคพีพอด และสัตว์หน้าดินพวกหนอนแดง ฯลฯ เกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์ก่อนที่จะปล่อยลูกกุ้ง เพื่อให้ลูกกุ้งได้รับสารอาหารครบถ้วนแบบที่มันได้รับในธรรมชาติ ลูกกุ้งจะได้มีภูมิต้านทาน และเมื่อมีอาหารธรรมชาติเราก็จะสามารถลดอาหารในเดือนแรกลงได้ ทำให้ประหยัดต้นทุนลง และเมื่อสภาพรอบ ๆ ตัวกุ้งไม่มีปัญหากุ้งก็จะอยู่อย่างสบายไม่ขี้โรค วิธีตรวจสอบว่าอาหารธรรมชาติมีเพียงพอหรือไม่ ให้เอาแก้วน้ำไปตักน้ำในบ่อขึ้นมาดูถ้ามีไร หรือโรติเฟอร์ในแก้วมากกว่า 10 ตัวขึ้นไปและลงไปในบ่อไปกอบดินเลนก้นบ่อขึ้นมาใส่กระชอนล้างดู ถ้ามีหนอนแดงก็ถือว่าใช้ได้
วิธีเตรียมห่วงโซ่อาหารธรรมชาติ จากข้อมูลของนสพ.สรุศักดิ์ ดิลกเกียรติ
กรณีเน้นหนอนแดง
- ทำการพักตากบ่อจนกว่า พื้นบ่อจะเกิดการย่อยสลายของเสียอย่างสมบูรณ์ไม่เกิดการย่อยต่อ หรือว่าจะใช้วิธีคราดพรวนก็ได้
- กำจัดสัตว์ที่เป็นศัตรูกุ้ง พาหะนำโรค ซึ่งการตากบ่อแห้งก็สามารถช่วยกำจัดศัตรูกุ้งไปส่วนหนึ่งแล้ว ส่วนปูก็ใช้วิธีวางยาเบื่อ หรือดักออก
- รดน้ำให้แฉะเขตกลางเลน
- ราดน้ำหญ้าหมัก หรือปูพื้นบ่อด้วยหญ้าแห้งเป็นหย่อม ๆ
- หรือราดด้วยอาหารหมัก เพื่อให้มีกลิ่นดึงดูดตัวแมลงให้ลงไปวางไข่ 4-5 วัน ก่อนนำน้ำเข้าบ่อ
การเตรียมห่วงโซ่อาหาร หลังจากที่เอาน้ำเข้าแล้ว
- ทำน้ำหมักชีวภาพเติมในบ่อเป็นระยะทุก 3-4 วัน ปริมาณที่เติมให้ดูสีน้ำเป็นเกณฑ์ โดยเติมจนกว่าสีน้ำจะขึ้นดี
- ลากโซ่ทั่วบ่อทุกวัน หรือจะใช้เรือคราดพรวนน้ำแบบของคุณอนันต์ เพื่อเร่งการย่อยสลายที่พื้นบ่อและป้องกันการเกิดสาหร่ายและขี้แดด
- ใช้ฟางข้าวหรือหญ้าแห้งมัดฟ่อนวางที่ชายน้ำริมบ่อ หรือปลาบดละเอียดผสมน้ำสาดริมบ่อตอนเย็น และปิดเครื่องตีน้ำให้นิ่งตอนเย็นถึงเที่ยงคืนเพื่อล่อให้แมลงลงไข่
- ระยะเตรียมน้ำอย่างน้อย 15 วัน
- ถึงแม้ว่าจะเตรียมหนอนแดงหรืออาหารธรรมชาติได้ดี ก็ยังต้องให้อาหารสำเร็จอย่างพอเพียงใน 3 วันแรกของการปล่อยกุ้ง
-ในกรณ輝ที่ทำอาหารธรรมชาติยาก อาจจะใช้วิธีเสริมแทนก็ได้ โดยการนำเอาไรแดงน้ำกร่อย หรือโรติเฟอร์น้ำกร่อยหรืออาร์ทีเมียมาปล่อยลงบ่อก่อนปล่อยลูกกุ้ง 2-3 วันในอัตรา 2 กก.ต่อไร่และเมื่อปล่อยลูกกุ้งแล้วก็หาซื้อหนอนแดงมาหว่านให้ลูกกุ้งกินในช่วงแรก
การจัดการเรื่องน้ำ
น้ำเป็นอีกปัจจัยที่สำคัญในการเลี้ยงกุ้ง ทั้งน้ำที่เอาเข้าและน้ำที่ทิ้งออก ขณะนี้กำลังมีกระแสกดกันการเลี้ยงกุ้งอย่างหนัก ทั้งเรื่องยาต้องห้ามและยาตกค้าง จนทำให้ดูประหนึ่งว่าผู้เลี้ยงกุ้งคือผู้ร้ายตัวสำคัญ แต่ทำไมไม่ไปไล่เบี้ยเอากับบริษัทยักษ์ใหญ่ ที่มีปริมาณนำเข้ายาต้องห้ามปีละมากมายมหาศาล ทำไมไม่ไปตรวจดูยาที่ใช้ในโรงเพาะฟัก เกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งไม่เคยรู้มาก่อนว่าในยา ในวิตามิน ในสารเพิ่มภูมิต้านทานที่ใช้อยู่มียาต้องห้ามผสมอยู่ หลายรายที่เลี้ยงกุ้งโดยไม่ใช้อะไรเลยนอกจากอาหาร ปูน และจุลินทรีย์ ทำไม่ถึงตรวจเจอยาในกุ้ง ทำไมไม่มีรายงานการผลของยาต้องห้ามในอาหารกุ้งที่เก็บตัวอย่างจากท้องตลาดไปตรวจยา เกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งที่จงใจใช้ยาต้องห้ามนั้นมีไม่ถึง 1% แต่เกษตรผู้เลี้ยงกุ้งทั้งหมดต้องกลายเป็นผู้ร้ายอันดับหนึ่ง
แต่เรื่องที่เกษตรกรไม่รู้ไม่ได้นั่นคือเรื่องของสิ่งแวดล้อมที่มีกฎหมายอยู่ อีกไม่เกินสองปีจะมีการบังคับใช้กับบ่อกุ้งอย่างเต็มที่ ก็อีกนะแหละทำไมพวกโรงงานอุตสาหกรรมใหญ่ ๆ ถึงได้รอดหูรอดตาเจ้าหน้าที่ไปได้ กลับจะมาไล่บี้เอากับเกษตรกร ( อีกแล้ว ) เรื่องของสิ่งแวดล้อมนั้นสามารถนำเอามาเป็นเครื่องมือในการกีดกันทางการค้าได้ เราเคยโดนมาแล้วเรื่องการทำลายป่าชายเลนและเต่าทะเล แต่ระลอกใหม่นี่จะหนักหนาสาหัสกว่าเดิม ฉะนั้นเราต้องป้องกันตัวเสียแต่เนิ่น ๆ การบำบัดน้ำทิ้งก่อนปล่อยออกนอกฟาร์มเป็นข้อกำหนดหนึ่งในการเลี้ยงกุ้งในกรอบของซีโอซี ถ้าเข้าโครงการแล้วจะมีการตรวจน้ำในคลองน้ำทิ้งทุกเดือน ถ้ามีปัญหาต้องแก้ไข และบันทึกเก็บเอาไว้ ถ้าจะมีใครมาโวยวายเรื่องนี้ในอนาคต เราก็สามารถยันกลับไปได้ทันที
การบำบัดน้ำที่จะทิ้งออกภายนอกนั้น ไม่ใช่เรื่องอะไรที่ยากเย็นเลย แค่มีการพักน้ำ ทิ้งให้ตกตะกอนซักช่วงเวลาหนึ่งก่อนปล่อยออกสู่ภายนอกก็ได้แล้ว เรื่องนี้เป็นเรื่องใหม่สำหรับเกษตรกรทั่วไป แต่ไม่แปลกสำหรับผู้ที่เข้าโครงการซีโอซี ประมาณต้นปีหน้าจะมีการจัดอบรมเรื่องนี้โดยกองควบคุมมลพิษ แต่ถ้าใครสนใจอยากรู้รายละเอียดในตอนนี้ติดต่อได้ที่ชมรมฯ
เรื่องของน้ำทิ้งก็ได้กล่าวคร่าว ๆ ไปแล้ว ทีนี้เราจะมาพูดถึงเรื่องของน้ำในบ่อเลี้ยงกัน มีหลายรายที่ไม่ได้บำบัดพื้นไม่ได้พักน้ำ ฉีดเลนเสร็จสองสามวันเอาน้ำเข้าแล้วปล่อยกุ้งเลย เลี้ยงไปไม่ถึงเดือนร่วง ก็ไปโทษลูกกุ้ง บางรายยังไม่ทันจะเตรียมบ่อหรือพักน้ำให้ดี พรรคพวกมาบอกว่ามีลูกกุ้งสวยมากดีมากให้รีบเอานะ เดี๋ยวจะไม่มีอีกแล้วก็เลยรีบลง แบบนี้ลูกกุ้งที่ดีไม่ใช่ไม่มีอีกแล้ว แต่คนเลี้ยงจะไม่ได้เลี้ยงอีกแล้วต่างหาก ที่ร้ายที่สุดที่ก็คือ ลูกกุ้งมาแล้วยังไม่ได้เอาน้ำเข้า ก็บอกให้รอก่อนซักชั่วโมงสองชั่วโมงขอเอาน้ำเข้าก่อน การที่ไม่ได้พักน้ำ บำบัดน้ำหรือตีน้ำให้คุณภาพดีและนิ่งก่อนปล่อยกุ้ง อัตราเสี่ยงจะสูงมาก แต่ก็ไม่ได้หมายความ 10 รายจะร่วงหมด 10 ราย อาจจะมีรายหรือสองรายที่พอได้ เมื่อเปอร์เซ็นต์ได้ต่ำแล้วเราจะไปเสี่ยงทำไม ทำไมไม่เตรียมบ่อและพักน้ำให้ดีที่สุด จริงอยู่บางครั้งแม้ว่าจะทำดีที่สุดแล้วก็ยังมีปัญหา แต่ในรายที่มีการเตรียมบ่อดีพักน้ำนานนั้น โอกาสที่จะร่วงมีแค่สองในสิบรายเท่านั้น ในเมื่อเป็นอย่างนี้แล้วเราจะเลือกเอาแบบไหนล่ะ
การนำน้ำเข้าบ่อ
หากท่านต้องการเลี้ยงกุ้งในแนวชีวภาพ สิ่งที่ต้องคำนึงก็คือ การพยายามไม่ใช้สารเคมีทั้งคลอรีน สารกำจัดพาหะและกากชา การป้องกันไม่ให้ศัตรูกุ้งหรือพาหะจากแหล่งน้ำภายนอกหลุดเข้าไปในบ่อก็เป็นสิ่งที่จำเป็น การกรองเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ง่ายและสะดวก โดยกรองหน้าที่หัวท่อสูบด้วยอวนมุ้งฟ้าตาถี่สุด ประมาณ 2-3 ชั้น และกรองหลังท่อน้ำออกด้วยถุงกรองผ้า 4 ชั้น หรือใช้ผ้าที่ตัดเสื้อนักเรียนเย็บเป็นถุงหนา 4 ชั้นขึ้นไป เพื่อกรองไข่ของสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ ที่จะเข้าสู่บ่อเลี้ยง ควรเป็นถุงยาวประมาณ 5-10 เมตร เพื่อป้องกันแรงปะทะของน้ำที่จะทำให้ถุงกรองหลุดออก ควรเปลี่ยนถุงกรองทุก ๆ 6 ชั่วโมงหรือก่อนตามสภาพของการอุดตัน ในช่วงที่เปลี่ยนถุงกรองจะต้องหยุดเครื่อง รอจนกระทั่งถุงกรองยุบตัวแล้วจึงค่อย ๆ แก้เชือกที่มัดออก นำถุงกรองไปล้างโดยกลับด้านในออกพร้อมขยี้เบา ๆ อย่าใช้แปรงถู เพราะจะทำให้ตาผ้าห่างออก ซึ่งจะส่งผลให้ประสิทธิภาพในการกรองลดลง
ต้องกรองน้ำให้ดี เพราะจะไม่มีการฆ่าพาหะและศัตรูกุ้งในบ่ออีก กากชาและสารเคมีทุกชนิด จะฆ่าสัตว์หน้าดิน และทำให้แมลงไม่ลงไปไข่
การพักน้ำ
เขตที่คุณภาพน้ำไม่ดี ควรพักน้ำในบ่อพักให้นานขึ้น ใช้ปลาและสาหร่ายช่วยบำบัดน้ำ ในเขตปกติก็ยังคงต้องพักน้ำ แต่อาจพักช่วงสั้นได้ หลังจากที่เอาน้ำเข้าบ่อแล้ว ต้องมีการตีน้ำด้วย ไม่ตีน้ำไม่ได้ แต่ไม่จำเป็นต้องเปิดเครื่องตีน้ำทุกตัว เปิดกลางวันซักครึ่งหนึ่ง กลางคืนตั้งแต่ตอนเย็นถึงเที่ยงคืนไม่ต้องเปิด เพื่อให้แมลงลงไปไข่ อย่างน้อยการตีน้ำเป็นการบำบัดน้ำให้ดีขึ้น ของเสียสารพิษต่าง ๆ ก็จะถูกบำบัดไป บางท่านคิดว่าก็ฉีดเลนแล้ว เอาน้ำเข้าก็น้ำใหม่ ยาฆ่าเชื้อก็ลงแล้ว ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร แต่ถ้าลองนำน้ำไปตรวจวัดคุณภาพน้ำดู จะเห็นว่ามันไม่ได้เป็นอย่างที่คิด ถ้าเราปรับปรุงคุณภาพน้ำไปด้วย จัดการให้พีเฮช อัลคาไลน์ แอมโมเนีย ไนไตร์ท อยู่ในช่วงที่เหมาะสม สภาพน้ำในบ่อก็จะดีขึ้น ตัวร้ายต่าง ๆ ก็จะค่อย ๆ ลดหายไป แพลงก์ตอนตัวที่ดีก็จะเกิดขึ้น สีน้ำก็จะขึ้น อาหารธรรมชาติก็จะเกิด
ในเขตที่มีความเสี่ยงโรคและตัวเกษตรกรยังคิดว่าจำเป็นต้องกำจัดพาหะ ก็ควรทำในบ่อพักหรือบ่อชงแล้วค่อยเอาน้ำเข้าบ่อเลี้ยง แต่เราก็ยังมีวิธีการอื่นอีกที่สามารถนำมาใช้ในการกำจัดพาหะและศัตรูลูกกุ้ง เช่นการตีอวน การใช้สารเคมีในการกำจัดพาหะและศัตรูลูกกุ้งอาจจะง่ายและสะดวกกว่าการตีอวนเยอะ แต่อะไรที่ง่ายไม่ได้หมายความจะให้ผลที่ดีกว่าวิธีที่ยาก
การเลี้ยงกุ้งในแนวชีวภาพที่เน้นการไม่ใช้สารเคมีและการสร้างห่วงโซ่อาหารธรรมชาติ ทำให้ต้องเตรียมน้ำนาน ผลที่ตามมาก็คือจะมีศัตรูลูกกุ้งเกิดขึ้นมาก อาจจะมีผลต่ออัตรารอดของลูกกุ้ง จึงต้องใช้วิธีตีอวนลากเอาพาหะและศัตรูลูกกุ้งขึ้น ใช้อวนมุ้งไนลอนที่มีขนาดตาประมาณ 16-18 ตาต่อนิ้ว ลากรวบรวมแมลงน้ำและศัตรูลูกกุ้งขึ้น ทำการลาก 2-3 หนหรือลากจนกระทั่งลากไม่ติดอะไรขึ้นมาเลย จึงจะปล่อยลูกกุ้งได้ อวนสำหรับใช้ลากนั้นลงทุนประมาณหมื่นเดียวเท่านั้น แต่ใช้ได้ตลอดไป ถ้ามี 2-3 บ่อลงทุนครั้งเดียวก็คุ้มกว่าการใช้สารเคมีแล้ว อุปกรณ์นี้อาจจะเป็นการร่วมทุนกันระหว่างเกษตรกรรายเล็ก ๆ ที่มีแค่บ่อเดียวก็ได้ แถมยังเป็นการเอาแรงกันด้วย ใครจะตีอวนก็ไปช่วยกันในกลุ่ม
คุณภาพน้ำ
เรื่องของคุณภาพน้ำก็เป็นเรื่องที่สำคัญมากอีกเรื่องในการเลี้ยงกุ้ง เราต้องปรับพีเฮชและอัลคาไลน์ให้เหมาะสมสำหรับกุ้ง โดยที่ไม่จำเป็นต้องโรยปูนขาวก่อนที่จะเอาน้ำเข้า เพราะถ้าพีเฮชสูงเกินจะทำการแก้ยาก ให้เอาน้ำเข้าแล้วตรวจวัดน้ำก่อน ถ้าพีเฮชต่ำไปค่อยใส่ปูน สำหรับพีเฮชที่เหมาะสมกับกุ้งคือ 7.5 ถึง 8.5 และอัลคาไลน์ควรมีค่าไม่ต่ำกว่า 80 ในตอนที่ปล่อยกุ้ง ในตอนแรกถ้าน้ำใสจะทำอัลคาไลน์ไม่ค่อยขึ้นให้ทำสีน้ำด้วยการใส่ปุ๋ยและใส่จุลินทรีย์ อย่าลืมว่าในช่วงเตรียมน้ำนั้นต้องทำการตีน้ำไปด้วย
ระหว่างการเลี้ยง ในช่วงเช้ามืดก่อนพระอาทิตย์ขึ้น พีเฮชควรจะอยู่ที่ 7.5 ถึง 8.0 ในช่วงบ่ายควรอยู่ที่ 8.0 ถึง 8.5 ถ้าช่วงเช้ากับช่วงบ่ายพีเฮชต่างกันมาก แสดงว่าแพลงก์ตอนบลูมมากหรือสีน้ำเข้มมาก บางครั้งที่พีเฮชกระโดดมาก ๆ จะสังเกตว่าในตอนบ่ายกุ้งไม่ค่อยกินอาหาร ต้องรีบทำการแก้ไข ให้ลดอาหารลง 20% ใส่จุลินทรีย์ ถ้าถ่ายน้ำได้ให้ถ่ายน้ำบนออกในช่วงบ่ายแล้วเติมน้ำเวลากลางคืน ถ้าเรามีการเฝ้าระวังอยู่ตลอดเวลา เมื่อเริ่มสังเกตว่าสีน้ำเริ่มเข้มขึ้นหรือพีเฮชเช้าบ่ายเริ่มจะต่างกันมากขึ้น ให้รีบทำการแก้ไขก็จะแก้ปัญหาได้ไม่ยากและไม่ต้องใช้สารเคมีเลย
การใช้จุลินทรีย์ไม่ว่าอย่างน้ำหรืออย่างผง ต้องตีน้ำให้มากขึ้นกว่าปกติ ไม่เช่นนั้นกุ้งอาจจะลอยได้เพราะขาดออกซิเจน
วิธีตรวจดูว่าจุลินทรีย์ที่ใช้ได้ผลหรือไม่ก็ด้วยการวัดพีเฮชก่อนใส่ และหลังใส่แล้วสองถึงสามวันถ้าได้ผลพีเฮชจะต้องลดลง ถ้าไม่ลดขั้นแรกให้สันนิษฐานก่อนว่าปริมาณที่ใส่ไม่เพียงพอให้เพิ่มปริมาณขึ้นอีก แต่ถ้าเพิ่มปริมาณแล้วยังเหมือนเดิมก็แสดงว่าจุลินทรีย์นั้นไม่ได้ผลให้ลองเปลี่ยนยี่ห้อแล้วทดสอบใหม่
การใส่จุลินทรีย์ผงให้ละลายด้วยน้ำจืดแล้วเป่าอากาศทิ้งไว้ 2-3 ชั่วโมงแล้วนำไปสาดเวลากลางวัน ส่วนจุลินทรีย์น้ำให้ใส่ในเวลากลางคืน
วิธีการใช้จุลินทรีย์อีเอ็มตามแบบของคุณอานนท์ อารีราษฎร์ มีดังนี้ให้ทำการขยายด้วยอัตราส่วนดังนี้คือ ใช้อีเอ็ม 10 ลิตร กากน้ำตาล 10 ลิตร และน้ำสะอาดใส่ลงในถัง 200 ลิตรเว้นที่ปากถังไว้ซักหนึ่งฝ่ามือ คนผสมให้เข้ากันดี แล้วใส่สับปะรดทั้งเปลือกตัดก้านตัดจุกออกหั่นเป็นแว่นซัก 4-5 ลูกลงไปด้วย ทำการปิดปากถังด้วยพลาสติคหรือผ้าใบแล้วใช้เชือกขันชะเนาะให้แน่นอย่าให้อากาศเข้าได้ สองสามวันแรกให้เปิดแล้วคนส่วนผสมในถังวันละครั้งแล้วปิดกลับอย่างเดิม หมักทิ้งไว้ไม่ต่ำกว่า 7 วันจึงจะนำไปใช้ได้ ปริมาณที่ใช้ (ในน้ำเค็ม) 50 ลิตรต่อไร่ทุก 7 วัน ต้องปรับลดปรับเพิ่มตามผลที่ได้ โดยสังเกตจากค่าพีเฮชและสีน้ำ ถ้าสีน้ำหายหรือพีเฮชลดลงมากก็แสดงว่าปริมาณที่ให้นั้นเกิน ให้ลดปริมาณการใช้ลง
ตะกอน จากหนังสือเทคนิคฝ่าวิกฤติกับหลากสไตล์การเลี้ยงกุ้ง
ตะกอนคือสิ่งแขวนลอยอยู่ในน้ำ ตะกอนที่พบในบ่อกุ้งส่วนใหญ่แล้วจะเป็นตะกอนดินข้างคันที่ถูกน้ำชะออกมา ตะกอนในบ่อกุ้งจะประกอบไปด้วยดิน ซากแพลงก์ตอนพืช ซากแพลงก์ตอนสัตว์ เศษอาหารกุ้ง ขี้กุ้ง
โดยปกติแล้วในตะกอนที่แขวนลอยอยู่ จะมีธาตุอาหารจากซากอินทรียวัตถุที่อยู่ในบ่อ ดังนั้นจึงเป็นที่อยู่อาศัยและอาหารของพวกจุลินทรีย์ต่าง ๆ ทั้งที่ดีและไม่ดี รวมทั้งซูโอแทนเนียมที่เป็นปัญหาหนักอกของผู้ลี้ยงกุ้งมาตลอด
แล้วตะกอนนี้จะเป็นอันตรายต่อกุ้งในบ่อหรือเปล่าละ ก่อนจะตอบคำถามนี้เราลองมาพิจารณาสังเกตดูในธรรมชาติ จะเห็นว่ากุ้งที่อาศัยอยู่ตามปากแม่น้ำที่มีน้ำขึ้นลงอยู่ตลอดเวลา น้ำก็จะเป็นตะกอนขุ่นอยู่ตลอดเวลา แต่กุ้งก็ยังอยู่อย่างสบาย ไม่เห็นออกอาการเบื่อโลกเลย นอกจากนี้ถ้าเราลองเอากุ้งมาใส่ในน้ำที่มีตะกอนสะอาด ก็จะเห็นว่ากุ้งสามารถขับน้ำย้อนออกมา ทำให้ตะกอนไม่ติดเหงือกกุ้ง อีกทั้งกุ้งยังมีอวัยวะสำหรับทำความสะอาดเหงือกของมันเองอีกด้วย ดังนั้นในบ่อเลี้ยงกุ้ง ตะกอนที่ฟุ้งอยู่จึงไม่น่าจะมีผลร้ายหรืออันตรายต่อกุ้งเลย
ที่เห็นว่ากุ้งมีเหงือกดำนั้นเกิดจากการที่เข้าไปหมกเลน และเลนนั้นเป็นเลนที่ไม่สะอาด มีของเสียที่ย่อยสลายไม่หมดอยู่ ทำให้จุลินทรีย์ที่ไม่ดีเข้าไปทำให้เหงือกมีปัญหา เลนดำ ๆ จึงเกาะติดเหงือกแน่น
ในบ่อที่มีการจัดการไม่ดี พื้นบ่อมีการหมักหมมที่เกิดจากขี้กุ้งและเศษอาหารที่เหลือ ที่ย่อยสลายไม่หมด ตะกอนนั้นจะมีของเสียคือพวกเศษอาหารอยู่มาก และตะกอนพวกนี้ก็จะเป็นแหล่งอาหารและที่อยู่อาศัยให้ซูโอแทนเนียม เมื่อซูโอแทนเนียมแพร่พันธ์มีปริมาณเพิ่มมากขึ้นก็จะเป็นปัญหาต่อกุ้งได้ วิธีป้องกันก็คือต้องคุมอาหารให้ดี อย่าให้มีอาหารเหลือ ใช้จุลินทรีย์ช่วยย่อยบำบัดสลายเศษอาหาร ขี้กุ้ง ซูโอแทนเนียมก็จะลดจำนวนลง
สำหรับในบ่อที่มีการจัดการดี มีการคุมอาหารดี คุมสีน้ำดีแพลงก์ตอนไม่ดรอป ระดับของออกซิเจนในน้ำมีค่าสูงพออยู่ตลอดเวลา ตะกอนที่ฟุ้งอยู่ในบ่อจะไม่มีอันตรายใด ๆ ต่อกุ้งเลย
การจัดการเรื่องอากาศ
ออกซิเจนเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ของสิ่งมีชีวิตทุกชนิด เช่นเดียวกับกุ้งดังนั้นการตีน้ำหรือให้อากาศในบ่อกุ้งจึงเป็นสิ่งจำเป็น ในบ่อกุ้งนั้นสิ่งที่ใช้ออกซิเจนไม่ได้มีแต่กุ้งอย่างเดียว จากรายงานของดร.พุทธ ส่องแสงจินดา ตัวที่ใช้ออกซิเจนในบ่อได้แก่กุ้ง 30% แพลงก์ตอนและสัตว์อื่น ๆ ในบ่อ 20% พื้นบ่อ 50% จะเห็นว่าตัวที่ใช้ออกซิเจนมากที่สุดคือพื้นบ่อ ซึ่งก็คือจุลินทรีย์ที่อาศัยที่พื้นบ่อ ที่คอยทำการย่อยสลายของเสีย ถ้ามีของเสียมากจุลินทรีย์ก็จะเพิ่มจำนวนมากขึ้นและก็จะใช้ออกซิเจนมากขึ้นด้วย การควบคุมไม่ให้มีของเสีย ซึ่งก็คืออาหารเหลือในบ่อ ก็จะสามารถลดการขาดออกซิเจนในบ่อลงได้ ในตอนกลางวันเมื่อแพลงก์ตอนพืชสังเคราะห์แสง ก็จะคายออกซิเจนออกมาเป็นการช่วยเพิ่มออกซิเจนในบ่อกุ้งด้วย ถ้าแพลงก์ตอนบลูมหรือสีน้ำเข้มจัด ในตอนกลางวันก็จะให้ออกซิเจนมาก แต่พอตกกลางคืนไม่ได้สังเคราะห์แสงก็จะแย่งใช้ออกซิเจนในบ่อ ต้องจัดการไม่ให้สีน้ำเข้มเกินไป
จากรายงานของดร.สถาพร ดิเรกบุษราคม ถ้าออกซิเจนลดลงในระดับต่ำเป็นเวลา 6 ชั่วโมงต่อวันเป็นเวลาหลายวันติดต่อกันจะทำให้กุ้งมีภูมิต้านทานลดลงจนติดเชื้อและตายได้ การตีน้ำหรือการเพิ่มออกซิเจนลงบ่อให้เพียงพอตลอดเวลาจึงเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง
บางรายตอนที่เตรียมน้ำจะไม่ตีน้ำและตอนที่ปล่อยกุ้งแล้วก็ยังไม่ตีน้ำเพราะคิดว่ากุ้งยังเล็กอยู่ไม่ต้องตีน้ำก็ได้ แต่ถ้าเตรียมบ่อไม่ดี พื้นบ่อยังมีของเสียอยู่ เวลาที่เอาน้ำเข้าของเสียก็กลับขึ้นมาในน้ำ ทำให้ลูกกุ้งในเดือนแรกมีปัญหาได้ ควรจะตีน้ำตั้งแต่เตรียมน้ำและในช่วงเดือนแรกก็ต้องตีน้ำด้วย เพื่อให้ช่วยบำบัดของเสียที่ยังอาจจะหลงเหลืออยู่
จุดอ่อนของเครื่องตีน้ำแบบใบพัดหรือแพดเดิลวีลก็คือ ไม่สามารถให้ออกซิเจนลงไปได้ลึก ถ้าจะใช้ใบพัดตีน้ำระดับน้ำต้องไม่ลึกกว่า1.2 ม. และต้องให้รอบของการตีสูงพอ น้ำที่ตีต้องฟุ้ง การตีน้ำแบบเอื่อย ๆ ไม่ได้ช่วยให้ออกซิเจนในบ่อกุ้งเลย
การจัดการเรื่องลูกกุ้ง
การเลือกลูกกุ้ง จากข้อมูลของคุณบรรจง นิสภวาณิชย์
ขั้นแรกต้องไปเลือกลูกกุ้งด้วยตัวเอง อย่าใช้วิธีสั่งทางโทรศัพท์ ควรไปในช่วงเวลา 9–10 โมงเช้า เพราะในช่วงเวลา 6-7 โมงเช้าโรงเพาะฟักจะต้องดูดตะกอนและคัดลูกกุ้งที่ตายออก ดังนั้นถ้าในเวลา 9-10 โมงเช้ายังสังเกตพบว่ามีลูกกุ้งตายก็แสดงว่า กุ้งบ่อนั้นเป็นกุ้งที่อ่อนแอ
เดินดูลูกกุ้งทุก ๆ บ่อ ดูว่าที่ก้นบ่อมีตัวตายหรือไม่ สังเกตสายท่ออากาศดูว่าระหว่างสายที่อยู่ในน้ำกับสายที่อยู่พ้นน้ำมีสีแตกต่างกันหรือไม่ ถ้าพบว่ามีคราบสี แสดงว่าบ่อนั้นใช้ยาหรือสารเคมีในการอนุบาล
ขอขันหรือกะละมัง 1ใบ เอากุ้งใส่จำนวนหนึ่ง แล้วใช้มือกวนหลาย ๆ รอบ จากนั้นจึงหยุดกวน แล้วสังเกตการดีดตัวของลูกกุ้ง ถ้าลูกกุ้งว่ายทวนกระแสน้ำได้ แสดงว่าลูกกุ้งนั้นแข็งแรง แต่หากว่าลูกกุ้งกองอยู่ตรงกลางหรือว่ายตามกระแสน้ำ แสดงว่าลูกกุ้งนั้นอ่อนแอ
ขอถังอีกใบใส่น้ำจืดแล้วนับลูกกุ้งใส่ลงไปประมาณ 100 ตัว นั่งรอคุยไป 2 ชม. จากนั้นสังเกตว่ามีตัวตายเกิน 5% หรือไม่ ถ้าเกินไม่ควรนำไปลงบ่อ
ใช้แก้วตักลูกกุ้งขึ้นมาส่องดู ถ้าหนวดคู่แรกหงิกงอหรือกางออก แสดงว่ากุ้งเครียด ใช้ไม่ได้
ควรไปดูลูกกุ้งตั้งแต่พี 8 เพื่อจะได้ขอให้ปรับความเค็มแต่เนิ่น ๆ การปรับความเค็มลงมาเกินวันละ 5 ppt. จะส่งผลระยะยาวต่อการเลี้ยงในบ่อ
การขนลูกกุ้ง จากข้อมูลของคุณบรรจง นิสภวาณิชย์
ใช้น้ำใหม่ที่สะอาดปรับค่าพีเฮชให้ได้ 8.3 เพราะในระหว่างการขนส่ง
ลูกกุ้งมีการหายใจ ก็จะคายก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมา ซึ่งจะทำให้น้ำมีพีเฮชลดลง
ขนส่งไม่เกิน 6 ชั่วโมง ให้บรรจุลูกกุ้ง 1,500 – 2,000 ตัวต่อถุง
ขนส่งเกิน 6 ชั่วโมง ให้บรรจุลูกกุ้ง 500 – 1,000 ตัวต่อถุง
ไม่ควรขนส่งในช่วงที่อากาศร้อน ควรใช้ผ้ากระสอบชุบน้ำปูที่พื้นกระบะ หรือใช้แผ่นโฟมรองพื้นก่อน ควรจะมีผ้าใบคลุมทั้งหมดเพื่อป้องกันความร้อนจากแสงแดด ถ้าเป็นได้ให้บรรจุถุงใส่ลูกกุ้งในกล่องโฟมจะดีที่สุด โดยที่ในกล่องโฟมควรใส่น้ำแข็งซักเล็กน้อย ใช้น้ำแข็งหลอดใส่ที่มุมกล่องโฟมทุกมุม เพราะถ้าเย็นกุ้งจะลดพฤติกรรมลงทำให้ไม่หายใจมากพีเฮชก็จะไม่เปลี่ยนแปลงมาก และลดความเครียดลงด้วยทำให้กุ้งไม่กินกันเอง
เวลาที่บรรจุลูกกุ้งลงถุงเราควรจะไปดูเองด้วย เพื่อตรวจสอบว่าเป็นลูกกุ้งบ่อที่เราจองจริง ๆ ให้ดูการบรรจุลูกกุ้งลงถุง ว่าจำนวนลูกกุ้งต่อถุงเป็นอย่างที่กำหนดหรือไม่ ดูการอัดออกซิเจนต้องอัดให้ถุงพองเต็มที่ เวลาที่มัดปากถุงแล้วถุงต้องพองตัวไม่ยุบไม่แฟบ ถ้าทางโรงเพาะฟักมีปัญหา ก็บอกไปเลยว่าค่าใช้จ่ายที่เพิ่มมาเราจะออกให้ ค่าถุงพลาสติคร้อยละไม่กี่บาท ค่าแก๊ซ ออกซิเจนถังละไม่เกินร้อยบาท ซึ่งสามารถใช้บรรจุลูกกุ้งได้หลายล้านตัว
การกำจัดศัตรูลูกกุ้ง จากกุ้งเอเชี่ยน
การใช้น้ำมันพืชสาดลงบ่อนั้นสามารถฆ่าแมลงและตัวอ่อนของแมลงได้โดยไม่เป็นอันตรายกับลูกกุ้ง เพราะอวัยวะหายใจของแมลงนั้นประกอบด้วยท่อลม ( Trachea ) ติดต่อกับรูอากาศ ( Spiracles ) ที่อยู่ข้างลำตัว ทำให้แมลงต้องลอยตัวขึ้นมาบนผิวน้ำเพื่อหายใจ เมื่อลอยขึ้นมากระทบกับน้ำมันที่ผิวน้ำ จะทำให้อากาศผ่านเข้าไปไม่ได้ จึงทำให้แมลงตายในที่สุด
วิธีการก็คือ ให้ละลายสบู่ชนิดใดก็ได้ 3 กก.ต่อ 1 ไร่ ใส่น้ำเล็กน้อยคนให้ละลาย หรือจะเร่งด้วยการตั้งไฟเคี่ยว เสร็จแล้วปล่อยทิ้งไว้ให้เย็น จากนั้นนำไปผสมกับน้ำมัน 7.5 กก.ต่อ 1 ไร่ คนให้เข้ากันดี จากนั้นนำไปสาดให้ทั่วบ่อ ให้กระจายไปทั่วผิวน้ำ ควรทำในช่วงที่ลมสงบ เพราะถ้ามีลม ลมจะพัดน้ำมันลอยไปติดแค่ด้านใดด้านหนึ่งของบ่อ แมลงก็จะหนีไปอยู่ด้านที่ไม่มีน้ำมันได้ ทำให้ไม่ตาย ทำก่อนปล่อยลูกกุ้ง 2-3 วัน ถึงจะปล่อยลูกกุ้งแล้ว 2-3 วันถ้ายังเห็นตัวแมลงอยู่อีกก็สามารถทำซ้ำได้ วิธีนี้จะทำให้อัตรารอดดีขึ้น
วิธีการปล่อยลูกกุ้ง
ควรปล่อยลูกกุ้งในช่วงเช้าเพราะน้ำในบ่อยังไม่ร้อนมาก เมื่อลูกกุ้งมาถึงจะใช้เวลาปรับอุณหภูมิไม่มาก และในช่วงการขนส่งอากาศยังไม่ร้อนมากลูกกุ้งจะไม่เครียด
การปล่อยกุ้งวิธีลอยถุง ให้ทำการแช่ถุงลูกกุ้งในบ่อเป็นเวลาอย่างน้อย 15 นาทีถ้าได้ถึง 30 นาทีได้ยิ่งดี ทำการวักน้ำราดบนถุงและพลิกถุงลูกกุ้งบ่อย ๆ เพื่อป้องกันลูกกุ้งรวมที่มุมถุง ซึ่งจะทำให้เกิดปัญหากัดระยางค์กันได้
หลังจากที่ลอยถุงจนได้เวลาแล้ว ให้ทำการแกะปากถุงออกพับปากถุงลงมาครึ่งหนึ่ง แล้ววักน้ำในบ่อใส่ถุงซักครึ่งถุง ทำทีละ 10 - 20 ถุง แล้วปล่อยลูกกุ้งลงบ่อ ทยอยเปิดถุง วักน้ำใส่แล้วปล่อยลูกกุ้ง ไม่ควรเปิดถุงทั้งหมด แล้วถึงปล่อย เพราะจะทำให้ลูกกุ้งขาดออกซิเจนได้ ที่สำคัญคือก่อนปล่อยลูกกุ้งออกจากถุงให้ดูว่าลูกกุ้งในถุงมีสภาพอย่างไร ยังแข็งแรงดีอยู่หรือไม่ หรือนอนก้น หรือมีตาย ให้สังเกตดูปริมาณลูกกุ้งที่นอนก้นหรือปริมาณที่ตาย ก็จะสามารถประเมินลูกกุ้งได้ว่าจะติดหรือไม่ติด หรือจะติดดีเพียงใด
การปล่อยโดยใช้ถังน้อค ต้องเตรียมอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้พร้อม มีถังขนาด 500 ลิตร หนึ่งใบต่อลูกกุ้ง 100,000 ตัว เครื่องให้อากาศผ่านหัวทรายลงน้ำในถัง ถังละ 2-3 หัว ควรลองเอาน้ำเติมแล้วดูว่ามีฟองอากาศออกที่หัวทรายดีหรือไม่ ถ้าออกน้อยอาจจะต้องเพิ่มเครื่องปั๊มอากาศ แต่ถ้ามีระบบซูเปอร์ชาร์จอยู่แล้วก็ไม่มีปัญหา แต่จะให้ดีที่สุดก็คือใช้ถังออกซิเจนเปิดผ่านหัวทรายลงน้ำเลย
เมื่อลูกกุ้งมาถึงให้นำลูกกุ้งลอยในบ่อเพื่อปรับอุณหภูมิก่อน 30 นาที จากนั้นก็ใช้มีดกรีดถุงปล่อยลูกกุ้งลงในถังเลย ในถังยังไม่ต้องใส่น้ำ ลูกกุ้งจะมีน้ำขลุกขลิกอยู่ก็สองสามถุงแรกเท่านั้น หลังจากที่ปล่อยลูกกุ้งลงถังแล้วก็ให้ใส่หัวทรายให้อากาศหรือออกซิเจน แล้วค่อย ๆ นำน้ำในบ่อเติมไปในถังอย่างช้า ๆ เพื่อปรับสภาพให้ลูกกุ้งคุ้นเคยกับน้ำในบ่อ ซึ่งจะใช้เวลาในการเติมน้ำจนเต็มถังหรือการปรับสภาพนี้ประมาณ ครึ่งถึงหนึ่งชั่วโมง ในช่วงนี้ถ้ามีอาร์ทีเมีย ก็ใส่ให้ลูกกุ้งกินได้เลย หลังจากที่ปรับสภาพดีแล้วก็ให้ใช้สายยางขนาด 1- 2 นิ้วทำกาลักน้ำปล่อยลูกกุ้งลงบ่อได้ หรือบางท่านอาจจะใช้เทคนิคคัดเอากุ้งที่อ่อนแอออกโดยหลังจากปรับสภาพแล้วให้หยุดการให้อากาศซักครู่แล้ววนน้ำในถัง รอสักครู่แล้วใช้สายยางดูดเอาลูกกุ้งที่อ่อนแอซึ่งกองอยู่ตรงกลางออกมาใส่ในกะละมัง ที่อยู่ในถังก็ทำการปล่อยลงบ่อได้ ส่วนที่อยู่ในกะละมังก็นำมาทำแบบเดิมซ้ำอีกครั้งหรือสองครั้ง หรือจนกว่าจะเห็นว่าลูกกุ้งที่กองอยู่ตรงกลางไม่ว่ายออกมารอบ ๆ ให้ทิ้งลูกกุ้งส่วนนั้นไป แต่ก็ควรจะประเมินจำนวนลูกกุ้งที่มีปัญหา จะได้รู้อัตราการปล่อยที่แท้จริง
การให้อาหาร จากเทคนิคฝ่าวิกฤติกับหลากสไตล์การเลี้ยง มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์
อายุ 1–3 วันแรก ให้อาหารในอัตรา 2 กก./ไร่/วัน ให้วันละ 4 มื้อ แบ่งออกเป็นมื้อละ 0.5 กก./ไร่ หว่านให้ทั่วบ่อ (พายเรือให้ในช่วง 20–25 วันแรก)โดยแบ่งอาหารออกเป็นส่วนประมาณ 5-10 ส่วน ผสมน้ำทีละส่วนสาดจนหมด แล้วจึงเอาส่วนที่เหลือผสมน้ำใหม่ การทำเช่นนี้เพื่อป้องกันอาหารยุ่ยและยังทำให้อาหารกระจายทั่วทั้งบ่อ กุ้งจะได้ไม่แตกไซด์ จะต้องหว่านอาหารในแต่ละมื้อไม่ให้ซ้ำแนวเดิม
แม้จะเตรียมอาหารธรรมชาติได้อย่างสมบูรณ์ ก็ยังต้องให้อาหารเต็มที่ใน 3 วันแรก เพราะลูกกุ้งยังกินอาหารธรรมชาติไม่เป็นหรือไม่เต็มที่
อายุ 4 –10 วัน ปรับลดอาหารตามความสมบูรณ์ของอาหารธรรมชาติ และยังหว่านให้ทั่วบ่อเช่นเดิม
* อาหารธรรมชาติมาก ให้อาหารสำเร็จเพียง 50 % ( 2 มื้อ )
* อาหารธรรมชาติปานกลาง ให้อาหารสำเร็จ 75 % ( 3 มื้อ )
* อาหารธรรมชาติน้อย ให้อาหารสำเร็จในอัตรา 2 กก./ไร่/วัน (4 มื้อ)
วิธีสังเกตปริมาณอาหารธรรมชาติ ถ้ามีเพียงพอ กุ้งที่ล่องจะลงเกาะพื้นภายในวันที่ 3-4 จะเห็นที่พื้นมีตะกอนขุยซึ่งเป็นปลอกของหนอนแดง กุ้ง 4-10 วันไม่เข้ายอหรือเข้ายอน้อย ทั้งที่เห็นกุ้งเกาะพื้นมาก กุ้งเขตชานเลนและกลางบ่อมีการลอกคราบก่อนและโตกว่ากุ้งเขตเลี้ยง และมักจะพบแพลงก์ตอนสัตว์ในมวลน้ำ
อายุ 11-20 วัน หว่านอาหารทั่วบ่อ ใส่อาหารในยอ 1 กรัม / ยอ / มื้อ ปรับเพิ่มหรือลดอาหารครั้งละ 10 %
* อาหารพร่อง 50 % เพิ่ม
* อาหารไม่พร่อง ลด หรือทรงชั่วคราว
อายุ 21-28 วัน ทยอยเว้นกลางบ่อจนเหลือพื้นที่หว่านเฉพาะเขตเลี้ยง ใส่อาหาร 2 กรัม / ยอ เช็ค 4 ชั่วโมง แล้วให้อาหารตามยอดังนี้
* อาหารในยอหมดหรือเกือบหมด เพิ่ม 10 %
* อาหารในยอพร่อง 50 % ยืน
* อาหารในยอไม่พร่อง ลด 10 %
อายุ 29 วันจนถึงจับขาย ปักเครื่องหมายกำหนดเขตเลี้ยงชัดเจน พื้นที่เขตเลี้ยงต้องดี ไม่มีบริเวณที่ผิวตะกอนมีกลิ่นก๊าซไข่เน่า ถ้าบริเวณผิวตะกอนเน่าเสียต้องหยุดหว่านอาหารชั่วคราว ให้อาหารเฉพาะเขตเลี้ยงที่พื้นดีเพื่อให้มั่นใจว่าอาหารทุกเม็ดกุ้งได้กินจริงและต้องเคร่งครัดการปรับอาหารตามยอ
การใส่ยอและการเช็คยอ ควรวางยอหลังจากให้อาหารเสร็จแล้ว 10-30 นาที
อายุ / น้ำหนักกุ้ง ( กรัม/ตัว ) | อัตราใส่ยอ ( กรัม / อาหาร 1 กก. ) | เวลาเช็คยอ ชม. |
29 วัน | 3 | 3 |
5 | 4 | 2.5 |
10 | 5 | 2 |
15 | 6 | 1.5 |
20 | 7 | 1.25 |
25 | 7 – 8 | 1 |
วิธีการให้อาหารและเช็คยอที่กล่าวมานี้ก็เป็นแนวทางในการให้อาหารกุ้งอีกรูปแบบหนึ่ง ถ้าวิธีเดิมที่ทำอยู่ผลที่ออกมามีอัตราแลกเนื้อที่ไม่สูงนัก ก็ใช้รูปแบบเดิม แต่วิธีที่พายเรือให้ทั่วทั้งบ่อในเดือนแรก ก็สามารถแก้ปัญหาเรื่องกุ้งแตกไซด์ได้ในระดับหนึ่ง มีบางคนที่เช็คยอมื้อชนมื้อ ถ้ายังจับกุ้งได้และมีอัตราแลกเนื้อไม่เกิน 2 ก็ไม่มีปัญหา แต่ต้องเข้าใจว่าคนอื่นทำได้อัตราแลกเนื้อไม่เกิน 1.5 ส่วนมากจะอยู่ที่ 1.2 เรื่องของเวลาที่เหมาะสมในการเช็คยอนั้น ขอให้ดูการละลายของอาหารด้วย ลองเอาอาหารมาใส่น้ำตรวจสอบดู ว่าเมื่อถึงสามหรือสี่ชั่วโมงอาหารจะเป็นอย่างไร ต้องลองเขย่าเบา ๆ ดูด้วย ถ้าอาหารยุ่ยกุ้งก็กินไม่ได้ ความเป็นจริงอีกอย่างก็คือเมื่ออาหารแช่อยู่ในน้ำแค่ชั่วโมงเดียว คุณค่าทางอาหารและวิตามินก็จะละลายออกมากับน้ำหลายสิบเปอร์เซนต์ ถ้าเช็คยอนานก็เท่ากับว่าปล่อยให้คุณค่าของอาหารละลายออกไปกับน้ำ ต้นทุนจะสูงขึ้น และอาหารที่หลงเหลืออยู่ในน้ำยังย้อนกลับมาทำร้ายเราด้วย
ระหว่างการเลี้ยงต้องหมั่นเช็คพื้นที่ในเขตเลี้ยงและเขตชานเลน หากพบว่าเขตการเลี้ยงเริ่มเน่า ต้องหยุดหว่านอาหารชั่วคราว และหากพบว่าเขตชานเลนเริ่มเน่า ควรปรับแนวการเลี้ยงใหม่และระวังยอหลอกหรืออาหารเกินเป็นพิเศษ ( ยอหลอกคืออาหารในยอหมด ให้อาหารเพิ่มเท่าไร ยอก็หมด คนเลี้ยงก็หลงดีใจว่ากุ้งกินอาหารดี แต่จริง ๆ แล้วพื้นบ่อเน่า กุ้งก็เลยเข้ากินอาหารเฉพาะในยอ )
เทคนิคการสังเกตยอ ข้อมูลจากนสพ.สุรศักดิ์ ดิลกเกียรติ
กุ้งติดแน่นและมีไซด์เสมอ นั่นหมายความว่าเราเตรียมบ่อดี เตรียมน้ำดี มีอาหารธรรมชาติมากพอ ให้อาหารเดือนแรกได้เหมาะสม จะทำให้เราเช็คยอได้ง่าย เพราะกุ้งในบ่อกล้าแย่งอาหารแข่งกันกิน จึงทำให้กุ้งที่ได้มีขนาดเสมอกันทั้งบ่อ จึงใช้เกณฑ์การใส่ยอตามปกติหรือมากกว่าปกติก็ได้
กุ้งติดแน่นแต่มีการแตกไซด์ ให้อาหารตามเกณฑ์ปกติและพิจารณาว่า กุ้งที่อยู่ในยอนั้นมีขนาดใดมากกว่ากัน
กุ้งตัวเล็กครองยอ แสดงว่าอาหารที่พื้นบ่อหมดนานแล้ว เพิ่มอาหารตามเกณฑ์ปกติได้ แต่ควรเช็คพื้นเขตชานเลนเป็นครั้งคราวประกอบด้วย เพื่อป้องกันอาหารพลาดในระยะที่กุ้งใหญ่เครียดและเข้าเขตชานเลนหรือเขตเลน
กุ้งใหญ่ครองยอ แสดงว่าอาหารเหลือหรือกุ้งเครียด ต้องลดอาหารในมื้อถัดไปไว้ก่อน หากไม่พอส่ามารถเพิ่มได้ในภายหลัง
กุ้งติดบางแต่มีขนาดไซด์สม่ำเสมอ ให้พิจารณาโดยการใส่ยอให้น้อยกว่าหรือเท่ากับเกณฑ์ปกติ ถ้าพบว่าอาหารที่ให้เหลือและในยอหมดช้ากว่าเกณฑ์ปกติ ให้สังเกตดูความหนาแน่นของกุ้งในยอประกอบด้วย และดูช่วงของการลอกคราบว่าปกติหรือไม่ เพื่อเป็นการป้องกันการกินกันเองของกุ้ง ไม่ควรใช้ยอเป็นเกณฑ์อย่างเดียว
กุ้งติดบางแต่มีขนาดแตกไซด์ พิจารณาโดยการไม่ถือยอเป็นเกณฑ์ โดยการใส่ยอให้น้อยลง เพราะอาหารอาจจะเหลือหรือขาดยอก็ได้ เพราะโดยส่วนใหญ่แล้วกุ้งใหญ่มักจะครองยอ แต่ถ้าเช็คยอแล้วพบว่ากุ้งติดบาง ให้สังเกตดูไส้ตัวเล็ก โดยการใช้สวิงคราดกุ้งเล็กหลังให้อาหาร 2 ชั่วโมง แล้วส่องดูไส้กุ้งเป็นเกณฑ์
การใช้ยอเคลื่อนที่ ตามแบบของคุณปรัชญา ศรีสวัสดิ์ วางยอย้ายที่ไปเรื่อย ๆ ถ้าบริเวณไหนที่ยอเคลื่อนที่ไม่หมดในขณะที่ยอประจำหมด ก็แสดงว่าบริเวณนั้นพื้นบ่อมีปัญหาให้งดการหว่านอาหารที่บริเวณนั้นซักสองสามวันก็จะดีขึ้น
การตรวจสอบคุณภาพอาหาร ตามวิธีของคุณจารุรัตน์ วรรณโกวัฒน์
** ถ้าภายใน 15 นาทีกุ้งยังไม่เข้าจับอาหาร แสดงว่าอาหารมีปัญหา ไม่ควรใช้
** ถ้ากุ้งจับอาหารแล้วปล่อยก็แสดงว่า อาหารมีปัญหาเช่นกัน
หมายเหตุ ควรทดสอบการยุ่ยของอาหารทุกชุดที่นำเข้ามาใช้ในฟาร์ม เพื่อปรับการใส่และเช็คยอโดยมีวิธีการดังนี้
1. นำอาหารเล็กน้อยใส่ในแก้ว ( น้ำครึ่งแก้ว ) ทิ้งไว้ 15 นาที
2. ใช้ไม้เล็ก ๆ กวนอาหารเบา ๆ สังเกตการละลายน้ำ สีตะกอน ทิ้งต่ออีก 15 นาที
3. ใช้ไม้กวนอาหารอีกครั้ง สังเกตการละลายน้ำ การยุ่ย สีตะกอน
วิธีปรับยอตามคุณสมบัติของอาหาร
- ถ้าอาหารยุ่ยกว่าเกณฑ์ปกติที่เคยใช้ ควรลดอาหารใส่ยอลงเล็กน้อยและเช็คยอเร็วขึ้น
- ถ้าอาหารแข็งหรือยุ่ยน้อยกว่าเกณฑ์ปกติ ควรเพิ่มอาหารในยอเล็กน้อยและเช็คยอปกติ
วิธีการขายกุ้งให้เกิดประโยชน์สูงสุด ข้อมูลจากนสพ.สุรศักดิ์ ดิลกเกียรติ
เตรียมผลผลิตกุ้งให้มีคุณภาพสูงสุด ณ วันขาย กุ้งต้องเนื้อแน่น ผิวเป็นมัน สีสวย ไม่มีกลิ่นโคลน หางไม่กร่อน เหงือกไม่มีเสี้ยน ไม่มีสารตกค้าง โดยการเตรียมการจับล่วงหน้า ไม่ต่ำกว่า 20 วัน หยุดยาหรือสารเคมีอื่น ๆ ก่อน เพื่อให้มีระยะเวลาเพียงพอที่จะถอนยาที่ตกค้างอยู่ในตัวกุ้ง เมื่อผ่านการถอนยาแล้วให้ส่งกุ้งตรวจสารตกค้างที่หน่วยงานของประมง เพื่อตรวจสอบและขอใบรับรอง ตรวจเช็ค สุ่มกุ้งทุก 5-7 วัน หากมีปัญหาจะได้แก้ไขได้ทัน
สุ่มไซด์กุ้งร่วมกับผู้ซื้อทุกขั้นตอน เพื่อให้ไซด์ถูกต้องตามความเป็นจริง จะได้ราคาถูกต้องตามไซด์จริง ไซด์เสมอตามความต้องการของโรงงาน ในกรณีขายปากบ่อ เมื่อไซด์ไม่ผิดจะได้ไม่โดนกดราคา ทำการตกลงเรื่องการปัดไซด์ให้แน่นอน การปัดไซด์ใหญ่ขึ้นอาจจะทำให้ราคาต่อหน่วยที่ได้สูงขึ้น 2-5 บาทแต่ท่านจะขาดรายได้ไปไม่ต่ำกว่า 2-3 หมื่นบาท
ต้องมีคนของเราอยู่ตรงที่คัดไซด์และชั่งกุ้งตลอดเวลาตั้งแต่รถห้องเย็นเข้ามาจนกระทั่งชั่งเสร็จ
ในกรณีคัดไซด์บนโต๊ะหรือจับขายเอง ต้องควบคุมให้การคัดไซด์ถูกต้องตามความเป็นจริง ไม่ผิดไซด์ จะได้ราคาตรงตามไซด์จริง
เปิดจับกุ้ง ดอง คัด บรรจุ อย่างถูกวิธี เพื่อให้กุ้งสะอาด ตัวกุ้งเหยียดตรง ไม่เกร็งหงิกงอ กุ้งมีความสด ทำให้ได้ทั้งน้ำหนักและราคาประมูล ทั้งทำได้โดย
เตรียมการจับให้พร้อม อุปกรณ์ คน ต้องพร้อมก่อนเปิดจับกุ้ง
ล้างกุ้งด้วยน้ำสะอาดก่อนจะน็อคทันทีที่ปากบ่อด้วยน้ำสะอาดที่เย็นจัด เมื่อกุ้งเต็มถังน็อคแล้ว น้ำที่ใช้น็อคกุ้งไม่นำกลับมาใช้ใหม่ ให้เปลี่ยนน้ำสะอาดและน้ำแข็งลงใหม่
รักษาความเย็นจัดให้กุ้งทุกขั้นตอนการทำงาน ก่อนทำการคัด กุ้งต้องอยู่ในสภาพที่เย็นจัดและไม่ควรรอชั่งเกิน 20 ตะกร้า ( ต้องตกลงกับผู้ที่มาซื้อกุ้งก่อน )
แนวทางแก้ปัญหา กุ้งโตช้าเลี้ยงไม่ได้ผล ข้อมูลจากนสพ.สุรศักดิ์ ดิลกเกียรติ
เหตุจากภายนอกฟาร์ม
คุณภาพน้ำ ต้องมีบ่อพักน้ำ บำบัดน้ำก่อนใช้ หรือรอน้ำใหม่ที่ดีกว่า
คุณภาพลูกกุ้ง เลือกโรงเพาะฟักที่ดี ไปดูลูกกุ้งด้วยตัวเองอย่าใช้วิธีสั่งทางโทรศัพท์ มีการตรวจสอบลูกกุ้งก่อน ซึ่งสามารถส่งตรวจสอบได้ที่สถานีประมงในพื้นที่ได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
คุณภาพอาหาร เราสามารถทดสอบอาหารได้ง่าย ๆ ด้วยตัวเอง ด้วยการนำ
อาหารหลาย ๆ ยี่ห้อมาใส่ยอที่อยู่ติดกันเพื่อสังเกตดูการกินของกุ้ง พร้อมทั้งนำอาหารมาใส่แก้วน้ำเพื่อดูความคงตัวของอาหาร
เหตุจากภายในฟาร์ม
1. กุ้งล่องมากแตกไซด์ตั้งแต่ 15 วันแรก เป็นเพราะพื้นบ่อหมักหมมมีของเสียอยู่ ทำให้กุ้งไม่สามารถลงดินได้ ให้จัดการเรื่องการเตรียมบ่อให้ดี กำจัดของเสียในบ่อหลังจับกุ้ง ซุยคราดพื้นบ่อที่หมักหมม พักบ่อให้นานพอ เมื่อเอาน้ำเข้าแล้วบำบัดน้ำให้ดี เตรียมสีน้ำและอาหารธรรมชาติให้ดี
การฉีดเลนบางครั้งก็ไม่สามารถเอาของเสียที่อยู่ลึกลงไปจากผิวดินได้ ต้องมีการบำบัดดินหลังจากที่ฉีดเลนแล้วด้วย ด้วยการใช้จุลินทรีย์ช่วยบำบัดดิน เราสามารถบำบัดดินได้ในขณะที่พักบ่อ แต่ถ้าจะให้จุลินทรีย์ทำงานอย่างได้ผล ต้องให้ดินมีความชื้นอยู่ไม่ควรให้แห้งสนิท ถ้าเป็นฤดูแล้งควรจะทำการฉีดน้ำให้ความชื้นอยู่ตลอด
2. กุ้ง 20–30 วันแรกโตมาดี แต่ชะงักในช่วงเริ่มเช็คยอ เพราะเกิดซู ช่วงเตรียมน้ำลากโซ่ทุกวัน พร้อมทั้งใช้จุลินทรีย์ด้วย การลากโซ่ถ้าทำได้ตลอดการเลี้ยงเป็นสิ่งที่ดี แต่ควรจะศึกษาให้ดีเสียก่อน
3. กุ้งโตปกติ กินเพิ่มปกติ ถึง 50-70 วัน เริ่มทรง และลดลงเรื่อย ๆ จนถึงขาย ได้กุ้งน้อยกว่าประมาณการณ์ ไซด์หัวน้อย จิกโก๋มาก เกิดจากกุ้งเข้าเลน ( ช่วงกุ้งใหญ่ ) และเกิดการกินกันเอง
ให้ทำการไล่กุ้งออกจากเลน แต่ต้องเช็คพฤติกรรม สุขภาพกุ้ง การกินอาหาร ก่อนทำการไล่ ต้องไม่ไล่กุ้งในช่วงกุ้งเข้าลอกคราบ 2 วัน ให้เสริมแร่ธาตุใส่ลงน้ำตรงเขตเลี้ยงด้านริม เช็คเขตเลนไม้ให้เน่า จัดการให้ออกซิเจนสูงพอ จัดการให้แนวเขตเลี้ยงดี อย่าให้กุ้งเข้าอยู่เขตเลนนานจนเกิดนิสัยกินกันเอง
แหล่งที่มา http://www.geocities.com/rayongcoc/coc_rayong1.htm