ในอากาศจะประกอบไปด้วยแก๊ซหลายชนิด แต่ที่มีมากก็คือแก๊ซไนโตรเจนมีประมาณ 78% ออกซิเจนมี 21% นอกนั้นก็เป็นแก๊ซอื่น ๆ อีกอย่างละเล็กอย่างละน้อย แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือแก๊ซออกซิเจน ที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตของสิ่งมีชีวิตเกือบทั้งหมดในโลกเรานี้ ในอากาศมีออกซิเจน 21 % หมายความว่าในอากาศ 100 ส่วนจะมีออกซิเจน 21 ส่วน แต่ในน้ำจะมีออกซิเจนอยู่คิดเป็นส่วนในล้านส่วน คือในน้ำหนึ่งล้านส่วนจะมีออกซิเจนอยู่ประมาณสิบส่วนเท่านั้น จะเห็นว่าความเข้มข้นของออกซิเจนในน้ำมีค่าต่ำมาก ๆ ดังนั้นเมื่อระดับของออกซิเจนในน้ำมีค่าเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย จึงมีผลกระทบต่อสัตว์น้ำอย่างมาก
ค่าอิ่มตัวของออกซิเจนที่ความเค็มและอุณหภูมิต่าง ๆ
------------------------ความเค็ม---------------------------
อุณหภูมิ องศาC | 0 ppt | 5 ppt | 10 ppt | 15 ppt | 20 ppt |
0 | 14.6 | 13.8 | 13.0 | 12.1 | 11.3 |
5 | 12.8 | 12.1 | 11.4 | 10.7 | 10.0 |
10 | 11.3 | 10.7 | 10.1 | 9.6 | 9.0 |
15 | 10.2 | 9.7 | 9.1 | 8.6 | 8.1 |
20 | 9.2 | 8.7 | 8.3 | 7.9 | 7.4 |
25 | 8.4 | 8.0 | 7.6 | 7.2 | 6.7 |
30 | 7.6 | 7.3 | 6.9 | 6.5 | 6.1 |
สำหรับออกซิเจนที่อยู่ในน้ำนั้นเราเรียกว่า ออกซิเจนละลาย (Dissolved Oxygen หรือ DO) ปกติแล้วความสามารถในการละลายลงน้ำหรือซึมเข้าไปอยู่ในน้ำของออกซิเจนจะมีค่าจำกัดอยู่ ค่าจำกัดนี้เรียกว่าค่าอิ่มตัว ซึ่งขึ้นอยู่กับความเค็มอุณหภูมิ และความดัน ดังนั้นที่ความเค็มและอุณหภูมิหนึ่ง ๆ ค่าออกซิเจนละลายจะมีขีดจำกัดอยู่ที่ค่าหนึ่งเท่านั้น
จากตารางจะเห็นว่าในน้ำจืด ออกซิเจนจะละลายได้ดีกว่าในน้ำเค็ม และในน้ำเย็นออกซิเจนก็จะละลายได้ดีกว่าในน้ำร้อนเช่นกัน ตรงนี้ก็พอจะบอกได้ว่าในหน้าร้อนที่อุณหภูมิสูงและความเค็มสูงทำไมกุ้งจึงมักจะงอแง
ปกติแล้วถ้าเป็นการเติมอากาศลงน้ำด้วยวิธีทางกลในสภาพความดันปกติ ออกซิเจนจะมีค่าไม่เกินจุดอิ่มตัว กล่าวคือเราไม่สามารถตีน้ำ ไม่ว่าจะใช้แพดเดิ้ลวีล แอร์เจ๊ต ซูเปอร์ชาร์จ หัวทราย ท่อหรือจานจ่ายอากาศ ทำให้น้ำมีปริมาณออกซิเจนละลายเกินกว่าค่าอิ่มตัว แต่ออกซิเจนที่เกิดจากการสังเคราะห์แสงของแพลงก์ตอนพืช จะซึมละลายแทรกเข้าไปในน้ำในระดับโมเลกุลและเป็นออกซิเจนล้วน ๆ ไม่เหมือนกับการเติมอากาศทางกล ดังนั้นปริมาณออกซิเจนละลายที่เกิดจากการสังเคราะห์แสงของแพลงก์ตอนพืชจะมีค่าสูงเกินกว่าจุดอิ่มตัวได้
เราลองมาดูน้ำโซดาซึ่งก็คือน้ำที่มีการอัดแก๊ซคาร์บอนไดออกไซด์ แต่เป็นการอัดภายใต้ความดันสูง ความเข้มข้นของคาร์บอนไดออกไซด์ที่ละลายอยู่ในน้ำจึงมีค่าสูง ทำให้เวลาที่เราดื่มน้ำโซดาหรือน้ำอัดลมเราจึงรู้สึกว่ามีความซ่า แต่ถ้าเราเปิดขวดและตั้งทิ้งไว้นาน ๆ มันก็จะหายซ่า เพราะว่าคาร์บอนไดออกไซด์ส่วนที่เกินจากจุดอิ่มตัวจะระเหยออกจากน้ำนั้น ถ้าเราเอาน้ำโซดาใส่แก้วไว้ทิ้งไว้สักครู่จนไม่มีพรายฟองผุดอีก แล้วเอาช้อนลงไปกวนหรือเขย่าแก้วซักเล็กน้อย ก็จะมีพรายฟองผุดขึ้นมาอีก แสดงว่าเมื่อมีการกระทบกระเทือนต่อน้ำที่มีแก๊ซละลายเกินจุดอิ่มตัว น้ำนั้นก็จะปลดปล่อยแก๊ซละลายที่เกินจุดอิ่มตัวนั้นออกมา
เหตุการณ์แบบนี้คือสิ่งที่เกิดในบ่อเลี้ยงกุ้ง ในบ่อเลี้ยงกุ้งในช่วงเวลากลางวันที่มีแสงแดดก็จะมีการสังเคราะห์แสงให้ออกซิเจนออกมา จึงไม่จำเป็นต้องตีน้ำมากในช่วงเวลาที่มีแดด แต่ยังต้องตีน้ำบ้างเพื่อเคล้าน้ำและปรับอุณหภูมิ เราจะได้ออกซิเจนฟรีจากพลังแสงอาทิตย์ และปริมาณออกซิเจนละลายจะมีค่าสูงกว่าจุดอิ่มตัว ทำให้ปริมาณออกซิเจนในบ่อมีอยู่อย่างเหลือเฟือและยังเป็นทุนสำรองที่ได้มาฟรี ดังนั้นหลังจากที่มืดแล้วแทนที่เราต้องเปิดเครื่องตีน้ำเต็มที่ เพื่อเพิ่มออกซิเจนในบ่อทันที เราก็ยังมีทุนสำรองอยู่ ทำให้ไม่ต้องตีน้ำมากในช่วงหัวค่ำ ในทางกลับกันถ้าเราไปตีน้ำแรง ๆ ในช่วงบ่ายที่มีแดดจัด แทนที่ออกซิเจนละลายที่ได้จากการสังเคราะห์แสงที่มีค่าเกินจุดอิ่มจะคงอยู่ในน้ำเพื่อเป็นทุนสำรองให้เราได้ใช้ในตอนหัวค่ำก็จะระเหยกลับคืนสู่อากาศเหมือนที่เราไปกวนหรือเขย่าน้ำโซดาดังที่ได้กล่าวมาก่อนหน้านี้แล้ว
เรื่องการสังเคราะห์แสงสร้างอาหารของแพลงก์ตอน ที่ให้ผลพลอยได้เป็นออกซิเจนนั้น ส่วนใหญ่แล้วจะรู้และเข้าใจกันทั้งนั้น และก็มีหลายท่านเข้าใจว่าในเวลากลางวันที่มีแดดจัดไม่มีความจำเป็นต้องตีน้ำ ตรงนี้ไม่ค่อยจะถูกต้องนัก เพราะถ้าไม่มีการตีน้ำเลย น้ำจะไม่มีการเคลื่อนไหว บริเวณที่แพลงก์ตอนสังเคราะห์แสงได้ก็จะเป็นช่วงบน ๆ ของผืนน้ำ แพลงก์ตอนในน้ำส่วนที่อยู่ลึกลงไปที่ก้นบ่อจะได้รับแสงน้อย ทำให้การสังเคราะห์แสงทำได้ไม่เต็มที่ ในส่วนลึกของน้ำก็จะได้ออกซิเจนจากการสังเคราะห์แสงน้อย และอย่าลืมว่ากุ้งกุลาดำเป็นสัตว์ที่อาศัยอยู่บริเวณหน้าดิน อีกทั้งยังมีปัญหาเรื่องของอุณหภูมิในน้ำที่จะทำให้น้ำมีการแบ่งชั้นของอุณหภูมิ ที่มีผลกระทบต่อกุ้งด้วย การตีน้ำเบา ๆ หรือการเคล้าน้ำนั้นจะทำให้น้ำมีการเคลื่อนไหว น้ำที่อยู่ส่วนลึกก็จะสามารถขึ้นมาคลุกเคล้าผสมกับน้ำที่อยู่ผิว ๆ ทำให้มวลน้ำทั้งหมดมีออกซิเจนละลายที่เท่า ๆ กัน เหมือนกับว่าเป็นการลำเลียงออกซิเจนลงไปสะสมไว้กับน้ำที่อยู่ส่วนลึก
ที่สำคัญที่สุดอีกประการหนึ่งก็คือ เกษตรกรจำนวนมากมักจะไม่ค่อยตีน้ำในช่วงเตรียมน้ำและในช่วงเดือนแรก ถ้าเป็นบ่อเก่าเลี้ยงมานานการสะสมของเสียที่พื้นบ่อ จะทำให้มีปัญหาได้ การฉีดเลนหรือตากบ่อแห้งไม่สามารถกำจัดของเสียออกจากบ่อได้ทั้งหมด เมื่อเราเติมน้ำเข้า ของเสียที่อยู่ลึกลงไปในดินก็จะค่อย ๆ ละลายกลับขึ้นมาทำให้ลูกกุ้งมีปัญหาได้ แต่ถ้ามีการตีน้ำก็จะทำให้มีการบำบัดของเสียนั้น หลังจากที่เอาน้ำเข้าซักวันสองวันให้ลองตรวจแอมโมเนียและไนไตร์ทดู และตรวจทุกสองสามวันจนกระทั่งปล่อยกุ้งแล้วแม้ในเดือนแรกก็ควรจะตรวจดูทั้งแอมโมเนียและในไตร์ท
ดังนั้นในขั้นตอนของการเตรียมน้ำและตั้งแต่เริ่มปล่อยลูกกุ้งก็ต้องมีการตีน้ำตลอด เพียงแต่ว่าในตอนกลางวันอาจจะลดการตีน้ำลงไปครึ่งหนึ่งของการตีน้ำปกติได้ ในช่วงเตรียมน้ำและเดือนแรก ตอนเย็นและหัวค่ำก็ให้ปิดเครื่องตีน้ำได้ เพื่อให้แมลงลงไปไข่เป็นการสร้างอาหารธรรมชาติ และเป็นการประหยัดด้วย ให้ไปเปิดในตอนดึก
วิธีการที่ออกซิเจนในอากาศละลายเข้าไปอยู่ในน้ำ เรานิยามว่าเป็นการแลกเปลี่ยนออกซิเจน ซึ่งน้ำกับอากาศต้องสัมผัสกัน กล่าวได้ว่าการแลกเปลี่ยนออกซิเจนเกิดได้ที่ผิวสัมผัส ยิ่งผิวสัมผัสมีมากการแลกเปลี่ยนออกซิเจนก็จะมีมากตามไปด้วย
เราลองมาดูกล่องกระดาษขนาด 1X1X1 เมตร ซึ่งมีปริมาตร 1 ลบ.ม.จะมีพื้นที่ผิวเท่ากับ 6 ตร.ม. ถ้าเป็นกล่องกระดาษขนาด 2X2X2 เมตร ซึ่งมีปริมาตร 8 ลบ.ม.จะมีพื้นที่ผิวเท่ากับ 24 ตร.ม. ถ้าจะเทียบปริมาตรกับพื้นที่ผิว กล่องเล็กจะเป็น 1 ต่อ 6 ส่วนกล่องใหญ่จะเป็น 1 ต่อ 3 จะเห็นว่าวัตถุยิ่งมีขนาดเล็กก็ยิ่งมีพื้นที่ผิวเทียบกับปริมาตรมาก
ดังนั้นการอัดอากาศที่มีปริมาณเท่ากันลงน้ำ ถ้าทำให้เป็นฟองฝอยเล็กมากเท่าไร ก็ยิ่งทำให้การแลกเปลี่ยนออกซิเจนทำได้ดีกว่าที่เป็นเม็ดฟองใหญ่ ๆ หรือการตีน้ำให้ขึ้นมาสัมผัสกับอากาศยิ่งทำให้น้ำเป็นฝอยได้ละเอียดมากเท่าไรก็ยิ่งทำให้การแลกเปลี่ยนออกซิเจนทำได้ดีขึ้นเท่านั้น
ปริมาณออกซิเจนละลายที่มีผลกระทบต่อกุ้ง ได้ทำการวิจัยโดย ดร.สถาพร ดิเรกบุษราคม ที่ได้สังเกตพบว่าในบ่อกุ้งบางส่วนจำนวน 93บ่อในอำเภอระโนดนั้น เมื่อใดก็ตามที่ออกซิเจนละลายที่พื้นบ่อมีระดับต่ำกว่า 3 ppm.ติดต่อกัน 5 วันกุ้งจะตาย จึงได้ทำการทดลองวิจัยผลของออกซิเจนละลายต่อระบบภูมิคุ้มกันและการเกิดโรคในห้องปฏิบัติการ ดังนี้
การทดลองที่ 1
ได้ทำการแบ่งกุ้งออกเป็นสองชุด
กุ้งชุดที่ 1 ให้ออกซิเจนอย่างเต็มที่วัดได้ 6 ppm. ลองฉีดเชื้อเรืองแสงจำนวนกว่าร้อยล้านเซลเข้าตัวกุ้งแล้วปล่อยให้อยู่ในที่ดี ๆ (น้ำดี ออกซิเจนเหลือเฟือ) หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมงก็เจาะเลือดกุ้งไปตรวจ พบว่าจำนวนเชื้อลดลง 90%
กุ้งชุดที่ 2 ดึงสายออกซิเจนออก เมื่อครบ 6 ชั่วโมงออกซิเจนลดจาก 6 ppm. เหลือเพียง 1.8 – 2 ppm. ลองฉีดเชื้อเรืองแสงในปริมาณเท่ากับกุ้งในชุดแรก หลังจากครึ่งชั่วโมงเจาะเลือดไปตรวจดู พบว่าจำนวนเชื้อลดลงเพียง 49.1%
แสดงว่ากุ้งที่แข็งแรงในสภาพปกติ จะมีความสามารถกำจัดเชื้อแบคทีเรียออกจากตัวมันเองได้
การทดลองที่ 2
ได้ทำการแบ่งกุ้งเป็นสามชุด
กุ้งชุดที่ 1 ให้ออกซิเจนอย่างเต็มที่ แล้วฉีดน้ำเกลือเข้าไปในตัวกุ้ง ไม่พบว่ากุ้งตาย
กุ้งชุดที่ 2 ให้ออกซิเจนอย่างเต็มที่ แล้วฉีดเชื้อเรืองแสงเข้าไปในตัวกุ้ง พบว่ากุ้งตาย 10 – 12 %
กุ้งชุดที่ 3 ดึงสายออกซิเจนออก ทำให้อยู่ในภาวะขาดออกซิเจนแล้วฉีดเชื้อเรืองแสงเข้าไปในตัวกุ้ง พบว่ากุ้งตาย 42.6 %
การทดลองที่ 3
ได้ทำการทดลองโดยดึงสายออกซิเจนออกวันละ 6 ชั่วโมง (ทำให้กุ้งอยู่ในสภาพขาดออกซิเจนวันละ 6 ชั่วโมง ) หลังจากนั้น 4 – 5 วันพบว่ากุ้งมีการตายสูงถึง 46.7% ตายเกือบครึ่งโดยไม่ได้ใส่เชื้ออะไรเข้าไปเลย แสดงว่าเชื้อที่อยู่ในน้ำทะเลตามปกติในจำนวนที่ไม่มากนัก ก็สามารถทำให้กุ้งที่อยู่ในสภาพขาดออกซิเจนตายได้ เพราะกุ้งไม่มีความสามารถกำจัดเชื้อโรคออกจากตัว
จากการทดลองนี้บอกได้ว่า ถ้าสภาวะออกซิเจนต่ำอย่างต่อเนื่อง กุ้งก็จะตายได้โดยไม่ต้องมีเชื้อ ถ้ามีเชื้ออยู่แล้วจะทำให้ยิ่งตายมากขึ้น สรุปได้ว่าออกซิเจนที่พื้นบ่อเป็นปัจจัยที่สำคัญ ถ้าออกซิเจนที่พื้นบ่อต่ำกว่า 3 ppm. ติดต่อกัน 3 – 5 วันกุ้งจะมีโอกาสติดเชื้อและตายได้
ดังนั้นจะเห็นว่าเรื่องของออกซิเจนละลายเป็นเรื่องคอขาดบาดตายเลยทีเดียว การจัดการเพื่อให้มีออกซิเจนละลายเพียงพอในบ่อเลี้ยงกุ้งจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เวลาที่ออกซิเจนละลายจะมีค่าต่ำที่สุดคือเวลาเช้ามืดก่อนที่พระอาทิตย์จะขึ้น มีข้อบ่งชี้ว่าถ้าออกซิเจนละลายเวลาเช้ามืดมีค่าไม่ต่ำกว่า 4 ppm. การเลี้ยงจะไม่ค่อยมีปัญหา แต่ข้อมูลจากฟาร์มที่เลี้ยงได้ดีและผลผลิตดีพบว่าส่วนใหญ่แล้วจะจัดการให้ออกซิเจนละลายในเวลาเช้ามืดมีค่าไม่น้อยกว่า 5 ppm.
วิธีการที่ใช้การตีน้ำให้ฟุ้งกระจายขึ้นไปในอากาศหรือวิธีการเติมอากาศแบบใบพัดตีน้ำ ( Paddle Wheel ) เป็นแบบที่นิยมและใช้มากที่สุดในการเลี้ยงกุ้งในประเทศไทย คิดว่าทุกท่านคงจะรู้จักกันดีอยู่แล้ว แรกเริ่มเดิมทีจะเป็นแบบที่มีทุ่นใช้มอเตอร์ไฟฟ้าและเกียร์ทดรอบ ซึ่งเป็นของไต้หวันที่ส่งมาขายในไทย แต่เนื่องจากในสมัย 10 กว่าปีก่อนนั้นระบบการจ่ายไฟฟ้าของเรายังไม่กระจายทั่วถึงเท่ากับในสมัยนี้ และตัวเครื่องก็ยังมีราคาแพง ทำให้คนไทยเราเองซึ่งมีหัวดัดแปลงและมีความสามารถทางช่างอยู่ ก็เลยดัดแปลงมาเป็นแขนตีน้ำดังที่เห็นอยู่
การดัดแปลงตรงนี้เป็นการเลียนแบบที่ได้แต่ลักษณะภายนอกมา แต่ผลการทำงานนั้นไม่สามารถเทียบได้เลย ในครั้งแรกอาจจะมีประสิทธิภาพใกล้เคียงแต่พอนานเข้ามีการลอกแบบซ้ำกันอย่างต่อเนื่องจนกลายเป็นว่ายิ่งมีใบพัดมากยิ่งดี และก็ยิ่งต่อแขนพวงได้มากเท่าไรก็เป็นความสามารถของคนทำ ให้สังเกตการทำงานของใบพัดตีน้ำแบบของไต้หวันดู เทียบกับการตีน้ำด้วยแขนพวง ( มีบางคนไม่ยอมเรียกเครื่องตีน้ำแบบแขนพวงว่าแพดเดิ้ลวีล ) จะเห็นว่ารอบที่ตีนั้นต่างกันอย่างมาก ที่เป็นเช่นนี้เพราะเมื่อเพิ่มงานให้กับเครื่องยนต์หรือมอเตอร์ไฟฟ้า เครื่องก็รับไม่ไหวเลยต้องตีแบบช้า ๆ
ข้อที่ควรคำนึงอย่างหนึ่งก็คือ การต่อแขนพวงนั้น พลังงานจะมีการสูญเสียไปกับความเสียดทานตามแป้นรับเพลาราวและตามยอยต่าง ๆ นั้นไม่น้อยเลย ท่านคงเคยได้ยินมาว่าการตีน้ำนั้นจะต้องใช้เครื่องกี่แรงม้าต่อพื้นที่ 1 ไร่หรือกี่แรงม้าต่อผลผลิต 1 ตัน แต่นั่นหมายถึงการตีน้ำที่เป็นการตีน้ำจริง ๆ คือน้ำจะต้องฟุ้งกระจาย เมื่อมีการต่อพ่วงใบมาก ๆ แล้วต้องตีน้ำช้า ๆ เมื่อเทียบกับการใช้จำนวนใบให้พอดีแล้วตีให้น้ำฟุ้งกระจายย่อมจะดีกว่ากันแน่ ( ดังที่ได้กล่าวมาแล้วในบทความข้างต้น )
บางท่านอาจจะเถียงในใจว่าก็ใช้แบบนี้มาตลอดไม่เห็นมีปัญหาอะไร ลองย้อนกลับไปดูรอบการเลี้ยงที่ผ่าน ๆ มาว่า พอถึง 3 เดือนทีไรกุ้งมักจะงอแงทุกครั้งหรือไม่ บางทีก็เริ่มตั้งแต่ 2 เดือน ลองไปดูฟาร์มที่เขาเลี้ยงได้ดีตลอดว่าเขาตีน้ำยังไง การตีน้ำด้วยใบพัดตีน้ำ หรือแพดเดิ้ลวีลนั้นจะต้องตีด้วยจำนวนรอบที่ไม่ต่ำกว่า 80–100 รอบต่อนาที
ต่อไปจะเปิดตัวให้เห็นถึงเครื่องตีน้ำแบบใหม่ที่กำลังมาแรงในขณะนี้ คือเครื่องตีน้ำแบบใบพัดที่มีการเรียงตัวของใบตีน้ำแบบเกลียว (spiral paddle pattern – paddle wheel ) เครื่องตีน้ำแบบนี้สามารถให้ออกซิเจนละลายได้ดีกว่าแบบแขนพวงถึง 3 เท่า และยังมีคุณสมบัติที่เด่นอีกข้อคือทำให้น้ำเดินได้ดีมากแถมยังลงได้ลึกด้วย
เครื่องตีน้ำนี้มีรูปร่างแตกต่างกันไปเล็ก ๆ น้อย ๆ ชื่อก็มีการเรียกหลายชื่อเช่น สไปรัล ขนเม่น ทุเรียน
เครื่องตีน้ำแบบของ ดร.บอยด์
เครื่องตีน้ำแบบขนเม่นหรือสไปรัล
การเรียงตัวแบบเกลียวนั้นจะช่วยทำให้โหลดหรือภาระนั้นกระจายอย่างสม่ำเสมอ ทำให้เครื่องยนต์หรือมอเตอร์ไม่ทำงานแบบกระตุก จะทำให้การสึกหรอลดลง ก็ไม่ทราบว่าเราไปเอาการติดใบพัดแบบเรียงกันให้ตรงกันหมดมาจากไหน ในทางที่ถูกต้องแล้วการติดใบพัดตีน้ำเข้ากับแป๊บน้ำนั้นก็ควรจะติดให้เรียงไปเป็นเกลียวเช่นกัน
รูปเครื่องตีน้ำแบบทุเรียน
เครื่องตีน้ำแบบทุเรียนนี้จะใช้ท่อพีวีซีชั้น 13.5 ขนาด 4 นิ้วมาทำเป็นเพลา แล้วเจาะรูสอดท่อพีวีซีชั้น 13.5 ขนาด 1½ นิ้วที่ตัดเป็นปากฉลามเข้าไป รูที่เจาะต้องให้ฟิตแล้วตีอัดเข้าไป หัวท้ายใช้หน้าแปลนพีวีซีมาประกบกับหน้าแปลนเหล็กที่เชื่อมกับแป๊บ 1 นิ้ว หรือจะตีปลอกเหล็กใส่หัวท้ายก็ได้ ต้นทุนต่อตัวจะอยู่ที่ประมาณ 2,000 บาทซึ่งสูสีกับการใช้ใบพัด
เครื่องตีน้ำแบบนี้มีจุดสำคัญอยู่ที่รอบของการตีน้ำ ที่ค่อนข้างจะสูงเมื่อเทียบกับการตีน้ำแบบทั่ว ๆ ไปของที่ทำกันมา คือจะต้องตีให้ได้ไม่ต่ำกว่า 120 รอบต่อนาที ในรูปที่แสดงเครื่องตีน้ำแบบขนเม่นนั้นจะตีถึง 150 รอบต่อนาที ส่วนแบบทุเรียนนั้นตี 120 รอบต่อนาที จุดอ่อนของใบตีน้ำแบบที่ใช้กันอยู่นั้นคือ ไม่สามารถตีน้ำที่รอบสูง ๆ ได้ เพราะมักจะมีปัญหาเรื่องใบหักหรือใบรูด ปัญหาเรื่องใบรูดหรือการขันน้อตแรงไปทำให้ตัวใบพัดแตกนั้น สามารถแก้ได้ในระดับหนึ่งคือให้ทำการเจาะรูที่แป๊บน้ำแล้วขันน้อตให้ตรงกับรู
ขอให้คิดใหม่ทำใหม่ในเรื่องการตีน้ำต้องตีให้ฟุ้งกระจาย จึงจะเรียกว่าการตีน้ำ ใบไม่ต้องมากเพียงแค่ 6 ถึง 8 ใบต่อแขนก็พอแล้ว และหนึ่งเครื่องสูบเดียวหรือมอเตอร์ 3 แรงม้าต่อหนึ่งแขน แต่ต้องตีให้ฟุ้งกระจาย แล้วก็ยังไม่ต้องไปเปลี่ยนเป็นแบบสไปรัลหรือแบบทุเรียน ให้ดัดแปลงใช้ของเก่าไปก่อน เมื่อของเก่าหมดสภาพแล้วค่อยเปลี่ยนใหม่ ที่สำคัญที่สุดก็คือถ้ากุ้งท่านอายุมากกว่า 2 เดือนขึ้นไปแล้วอย่าเพิ่งไปเปลี่ยนแปลงระบบภายในบ่อ เดี๋ยวตะกอนที่พื้นบ่อจะฟุ้งขึ้นมา กุ้งรับไม่ไหวเกิดการลอยหัวจะมาโทษว่า แบบสไปรัลหรือทุเรียนไม่ดีอีก
ตอนท้ายนี้ได้แสดงรูปแนวคิดดัดแปลงต่าง ๆ ให้ดู ลองไปคิดดัดแปลงเอาให้ถูกที่สุด แต่ใช้งานได้ดีที่สุดดู ข้อบังคับก็คือ ต้องตีมากกว่า 120 รอบขึ้นไป และจำนวนใบต้องมากพอ ถ้าสามารถเรียงใบให้ติดกันไปได้ก็ยิ่งดี
แบบใช้แป๊บที่มีอยู่มาดัดแปลง
แบบใช้ใบเก่ามาดัดแปลง
การตีน้ำต้องตีให้น้ำฟุ้งกระจายแบบนี้ ประมาณ 80 รอบ/นาที
คราวหน้าจะมีเรื่องของการทดสอบวัดการกินไฟในแต่ละแบบของเครื่องตีน้ำแบบต่างๆ และวิธีการทำเครื่องตีน้ำแบบทุเรียน
แหล่งที่มา http://www.geocities.com/rayongcoc/O2.htm