พืชไร่
พืชไร่ เป็นพืชที่คล้ายพืชผักสวนครัวในบางส่วน เพราะสามารถเพาะปลูกเป็นแปลงก็ได้ เพาะปลูกเป็นหลุมก็ดี ที่ต่างออกไปคือการเพาะปลูก เป็นลานกว้างเป็นแปลงเดียวทั้งพื้นที่ หรือแบ่งเป็นแปลงใหญ่ๆ มีขั้นตอนดังนี้
- การเลือกเมล็ดพันธุ์
พิจารณาในเรื่องต่อไปนี้คือเหมาะสมกับพื้นที่ และฤดูกาล เช่น พื้นที่ที่ปลูกเหมาะแก่พืชน้ำ หรือพืชดิน ฤดูกาลการเพาะปลูก และการให้ผลผลิตต่อปี - การเตรียมแปลง
แบบที่ 1. เตรียมแปลงเหมือนผักสวนครัว ทำแปลงลึกรูปตัว V เหมาะสมกับพืชที่ไม่ต้องการความชื้น เช่น แตงร้าน ถั่ว เป็นต้น วิธีเตรียมดิน
1. ขุดเป็นรูปตัว V ขนาดพอเหมาะ กว้าง และลึก ประมาณ 50 ซม. 2. ใส่อินทรีย์วัตถุ เช่น หญ้าแห้ง ฟาง มูลสัตว์ ใบไม้แห้ง ฯลฯ 3. โรยปุ๋ยแห้ง ตารางเมตรละ 1 กำมือ 4. รดด้วยปุ๋ยน้ำ 5. ปิดแปลงด้วยดิน คลุมด้วยฟางหรือหญ้าแห้ง รดด้วยปุ๋ยน้ำ หมักไว้ 7 วัน จึงปลูกพืชิ แบบที่ 2. เตรียมเป็นหลุมขนาดต่างๆ ตามลักษณะของพืช (ใช้กับการปลูก บวบ แตง ฟักทอง ฯลฯ) วิธีเตรียมดิน 1. ขุดหลุมประมาณ 30 x 30 ซ.ม. หรือ 50 x 50 ซ.ม. 2. 2-5 (ทำเหมือนแบบที่ 1) แบบที่ 3. เตรียมแปลงปลูกเป็นแปลงใหญ่ แปลงเดียวหรือ หลายแปลง วิธีเตรียมดิน 1. ถ้ามีหญ้ามากดำเนินการดังนี้ ใส่ปุ๋ยแห้ง พ่นปุ๋ยน้ำ ให้ทั่ว ไถและคราด หรือไถกลบ พ่นปุ๋ยน้ำอีกครั้ง เพื่อช่วยให้หญ้างอก ทิ้งไว้ 10-15 วัน แล้วไถคราดอีกให้เป็นปุ๋ย 2 ต่อ หากหญ้ายังไม่หมดพ่นปุ๋ยน้ำทิ้งไว้ 10-15 วัน แล้วไถคราดอีกครั้งจึงปลูก 2. เตรียมหลุมในแปลงใหญ่ได้ สำหรับพืชที่ระยะห่างกันมาก เช่น แตง ฟักทอง ฯลฯ หรือขุดปลูกได้เลยตามลักษณะของพืช - การปลูก
ปลูกด้วยเมล็ด เตรียมเมล็ดให้พอเหมาะกับพื้นที่ นำเมล็ดแช่ปุ๋ยน้ำ (EM 1 ส่วน น้ำ 100 ส่วน) ประมาณ 20-30 นาที นำลงปลูกในแปลงที่เตรียมไว้ ถ้าปลูกเป็นหลุมๆ ละประมาณ 3-4 เมล็ด ฯลฯ การปลูกด้วยกล้า เพาะกล้าในถุงเพาะ หรือแปลงเพาะ หรือกะบะเพาะ ดูแลรดน้ำสม่ำเสมอ โตพอควรจึงนำไปปลูก ข้อควรคำนึงในการเพาะกล้า 1. เตรียมดินดี 2. เพาะในถุงไม่ควรเมล็ดมากเกินไป 3. เพาะในแปลงอย่าให้ถี่มากเกินไป 4. ให้เป็นไปตามอายุของพืช การปลูกอย่าให้อ่อนหรือแก่เกินควร 5. การปลูกพืชต่อเนื่อง การเพาะกล้าช่วยให้ปลูกได้หลายรุ่น และได้ผลผลิตมากกว่าเดิม 6. การปลูกด้วยกล้า ควรทำร่มเงาด้วยสักระยะหนึ่ง (ประมาณ 1 สัปดาห์) อาจจะใช้ฟางคลุมหรือทำนั่งร้านคลุมด้วยสแลน ฯลฯ - การดูแลรักษา
การให้น้ำ พืชบางชนิดหลังปลูก ให้น้ำชั่วคราว แล้วไม่ต้องให้อีก เช่น แตงโม พริก มะเขือ ฟักทอง ยกเว้นแล้งจัด พืชบางชนิดต้องให้น้ำตลอด เช่น ถั่ว แตงร้าน พืชบางชนิด เช่น แตงกวา ฟักทอง ถ้าจะให้น้ำให้ที่ลำต้นที่เดียว ไม่ต้องฉีดพ่นทั่วไป บางชนิดอาจไม่ต้องให้น้ำเลย เช่น ข้าวโพด สับปะรด ถั่วบางชนิด ฯลฯ แต่อาศัยน้ำจากธรรมชาติ การปลูกต้องพึ่งฤดูกาล การให้ปุ๋ย ใส่ปุ๋ยแห้งเดือนละครั้งหรือเมื่อสังเกตว่าพืชไม่สมบูรณ์ เวลาใส่ปุ๋ยแห้ง ให้ใส่รอบๆ ดิน หรือระหว่างแถว ไม่ให้ถูกลำต้น และใบ พ่นปุ๋ยน้ำ เสมอๆ สลับกับสารไล่หรือป้องกันศัตรูพืช ประมาณเดือนละ 2 ครั้ง พืชที่ไม่ต้องให้น้ำ ควรพ่นปุ๋ยน้ำ และสารไล่ศัตรูพืช หลังฝนตก หากฝนไม่ตก อาจผสมน้ำปริมาณมากกว่าเดิม และพ่นให้มากกว่าปกติ การป้องกันศัตรูพืช ฉีดสารไล่แมลงหรือศัตรูพืชไว้ก่อนเสมอ เพื่อเป็นการป้องกัน หากมีแมลงศัตรูพืชมากหรืออยู่ช่วงฤดูศัตรูพืชระบาด ควรฉีดสารไล่แมลงบ่อยๆ 2-3 วัน / ครั้ง พื้นที่กว้างอาจแบ่งพื้นที่ออกเป็น 3 ส่วน ฉีดทุกวันๆ ละ 1 ส่วน สลับกันไปเพื่อประหยัดแรงงาน - การเก็บผลผลิต
พืชเจริญเติบโตไม่เท่ากัน การเก็บผลก็ต่างกันออกไป ควรเก็บในตอนเช้า พืชที่มีผลต่อเนื่อง คือออกผลได้อีก เช่น แตง ถั่ว ควรเก็บให้รอบคอบ ไม่ทำลายขั้ว การดูแลรักษาผลผลิตต่อเนื่องเป็นเรื่องจำเป็น บางชนิดทับถมกันได้ บางชนิดทับถมกันมากไม่ได้ บางชนิดต้องมัด หรือบรรจุถุง หรือห่อ
แหล่งที่มา http://www.chivavithee.net/modules.php?name=News&file=article&sid=34