เลี้ยงกุ้งขาวแบบต้นทุนต่ำ กำไรทุกครอป

เลี้ยงกุ้งขาวแบบต้นทุนต่ำ กำไรทุกครอป 
(หนังสือสัตว์น้ำ ฉบับที่ 229 ประจำเดือนกันยายน 2551 หน้าที่ 70-73)
 
ในนิตยสารสัตว์น้ำฉบับนี้ จึงขอนำเสนอประสบการณ์มากมายต่างๆ ของเกษตรกร ผู้เลี้ยงกุ้งท่านหนึ่งที่มีวิธีแนวทางการเลี้ยงที่แปลกๆ ไม่เหมือนใครมานำเสนอ เรื่องราวของคุณลุงโยธิน กนกทิพย์พงชัย และคุณณัฐฐี กนกทิพย์พงชัย (ลูกชาย) เป็นผู้ให้ข้อมูล
ปัจจุบันคุณลุงโยธินก็หันมาเลี้ยงกุ้งขาว เหตุผลที่เลี้ยงกุ้งขาวเพราะว่าออเดอร์ของกุ้งดำไม่ค่อยมีเยอะสักเท่าไหร่ และอีกย่างกุ้งขาวเลี้ยงง่ายกว่ากุ้งดำ แล้วหันมาเลี้ยงกุ้งขาวอย่างเต็มตัว เริ่มประมาณ 3-4 ปี ก็อยู่ประมาณปี 47 เลี้ยงระบบกึ่งธรรมชาติ โดยคำนึงถึงความปลอดภัยของผู้บริโภค
การเตรียมบ่อ หลังจากที่จับกุ้งแล้วคุณลุงจะตากบ่อทุกครั้ง ตากบ่อเสร็จก็เริ่มหว่านปูนขาว ต้องดูสภาพบ่อด้วยว่ากุ้งขาวเมื่อจับแล้ว การล้างบ่อ 1 ครอป อาจจะเลี้ยงได้ 2-3 ครอป หรืออย่างน้อยต้อง 2 ครอป แล้วเอาดินเลนออก พอเตรียมบ่อทำความสะอาดเสร็จ คุณลุงบอกว่าไม่ต้องล้างให้สะอาดมากนัก เพราะธรรมชาติของกุ้งขาวชอบแบบธรรมชาติมากกว่า เคยทดลองดูระหว่างการล้างบ่อกับการไม่ล้างบ่อ บ่อที่ไม่ล้างบ่อจะโตดีกว่าบ่อที่ล้าง เหตุผลที่พูดแบบนี้คุณลุงบอกว่าธรรมชาติของกุ้งขาวชอบธรรมชาติไม่เหมือนกุ้งดำ เพราะว่ากุ้งขาวชอบกินสาหร่าย แต่การตากบ่อไม่จำเป็นต้องตากให้แห้ง เพราะบ่อลุงเป็นบ่อทรายก่อนที่จะหว่านปูนขาว คุณลุงก็หว่านปูนซีเมนต์ก่อนประมาณ 5-10 ลูก พอลงปูนซีเมนต์เสร็จแล้วก็ลงปูนขาว เพราะปูนขาวมีข้อดี ในปูนขาวมีแมกนีเซียม, ฟอสเฟส หรือภาษาชาวบ้านเรียกว่า ดีเกลือ เพราะถ้าน้ำจืดต้องใช้ดีเกลือช่วยกุ้งจะไม่สามารถเอาแร่ธาตุไปสร้างในตัวได้ และใช้ดีเกลือเข้ามาช่วยเลี้ยงตลอด

อัตราการปล่อย ลูกกุ้งอยู่ที่ 100,000 ตัว/ไร่ น้ำไม่ลึก เพราะเลี้ยงในน้ำตื้นเป็นบ่อทราย จึงไม่ค่อยมีน้ำ คือเลี้ยงแบบระบบปิด จะนำเอาน้ำมาหมุนเวียนในบ่อกลับมาใช้ คือเลี้ยงแบบวิธีกึ่งธรรมชาติ อัตราการปล่อยก็ไม่หนาแน่นเกินไป และสามารถควบคุมวงจรของกุ้งไปในตัวของกุ้งก่อนปล่อยลูกกุ้งไม่สามารถรู้ได้ว่าในน้ำมีอะไร เพราะบางครั้งเตรียมบ่อนานเกินไป อาจจะมีปลาที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ และไม่สามารถทำลายปลาพวกนี้ได้ ถ้าเกิดเตรียมบ่อประมาณ 20-25 วัน จะมีลูกปลาเล็กๆ แต่ถ้าปลาตัวโตกว่ากุ้ง ปลาจะกินกุ้ง
เทคนิค ของคุณลุงก่อนจะปล่อยลูกกุ้งจะหว่านอาหารล่วงหน้าก่อน 1 มื้อ เพราะไม่สามารถรู้ได้ว่าศัตรูของลุกกุ้งมีอะไรบ้าง อาหารที่หว่านลงไปพวกลูกปลาต่างๆ ก็จะกินทำให้อิ่ม และลดความดุ ความหิวโหยลดลง พอปล่อยกุ้งจะไม่มาทำร้ายลูกกุ้ง คุณลุงบอกว่าปล่อยลูกกุ้งไม่เคยเผื่อ ปล่อยในอัตราไหนก็ปล่อยแค่นั้น
การให้อาหารให้ไม่เหมือนคนอื่นก็คือ พอเริ่มปล่อยกุ้งจะให้อาหาร 2 มื้อ คือ เช้า-เย็น จะให้น้อยกว่าคนอื่นที่เขาทำตามโปรแกรม อย่างเช่นคนอื่นให้อาหาร 100,000 ตัว/กก. แต่ลุงจะให้ 100,000 ตัว/0.5 กก. จะลดลงครึ่งหนึ่ง แต่ก็จะดูกุ้งด้วย ว่าปล่อยแล้วอัตราเจริญเติบโตดี ถ้าตัวโตจะให้ 3 มื้อ ถ้าตัวเล็กๆ จะให้ 2 มื้อ การเช็คยอ 20 วันอย่างช้า เพื่อจะดูการเจริญเติบโตของกุ้ง ก็ดูว่ากุ้งตัวอ้วนหรือผอมและค่อยเพิ่มอาหาร ถ้าตัวกุ้งตัวโตก็เพิ่มอาหารเล็กน้อย แต่ถ้ากุ้งตัวผอมก็เพิ่มอาหารมากประมาณวันละ 1 กก. เพราะกุ้งต้องเพิ่มอาหารเรื่อยๆ จนกว่าจะพอ ส่วนไซส์ที่จับก็อยู่ประมาณ 60-70-80 ตัว/กก. อยู่ประมาณนี้แล้วแต่ราคา ส่วนระยะเวลาการจับก็อยู่ประมาณ 3 เดือน 2 วัน ไซส์ที่จับตอนนี้ 70 ตัว/กก. ก็อยู่ประมาณ 90 บาท การเลี้ยงไม่ค่อยมีปัญหา เพราะเลี้ยงแบบสบาย คือเลี้ยงแบบกึ่งธรรมชาติ
ปัจจุบันคุณลุงเน้นไซส์ 70-110 ตัว/กก ที่เน้นไซส์นี้ เพราะตลาดกำลังต้องการมากในตอนนี้ และการตีน้ำลุงจะไม่ค่อยตีน้ำ จะตี ครั้งเว้นไปอีก 7 วัน แล้วค่อยตีอีกครั้ง จะตีเฉพาะกลางคืน เดือนแรกๆ ไม่ค่อยตี คือ การตีน้ำแต่ละครั้งตีเพื่อไม่ให้น้ำตาย "ถ้าพูดตามประสาชาวบ้านให้น้ำมันกระเพื่อมและก็หยุดตี จนกระทั่งกุ้งอายุประมาณเดือนครึ่ง ก็จะเริ่มตีน้ำบางคืนแล้วแต่สภาพน้ำ ก็จะสังเกตดูว่าน้ำเปลี่ยนสี คือน้ำดร็อป เป็นเม็ดขาว ก็จะตีน้ำ"

ระหว่างการเลี้ยงคุณลุงจะเตรียมบ่อใส่ปูนขาวประมาณ 10 กก./ไร่ หรืออาจจะไม่ถึง เพราะดูจากสภาพบ่อ ความสะอาดของบ่อ ถ้าขุดเลนออกบ่อก็สะอาดและใช้ปูนน้อยลง เหตุผลที่ใช้ปูนขาวปูพื้นบ่อ ข้อดีคือปูนขาวจะควบคุมค่าพีเอช (pH) ของน้ำได้ ทำให้น้ำนิ่งดีกว่าจะใส่น้ำก่อน และใส่ปูนทีหลัง แต่บางครั้งใส่น้ำก่อนโดยเฉพาะช่วงหน้าฝน พอจับกุ้ง 2-3 วัน น้ำจะซึมเข้ามาในบ่อ เพราะเป็นบ่อทราย บางครั้งก็ไม่สามารถดูดให้แห้งได้ ไม่สามารถตากบ่อได้เลย เอาปูนใส่ทีหลัง แต่ความจริงต้องหว่านปูนลงก้นบ่อก่อน เพื่อให้ปูนดูดซับลงในดิน พอถึงเวลาปูนขาวจะออกฤทธิ์ในช่วงระหว่างการเลี้ยง ค่าพีเอชจะนิ่งไม่จำเป็นต้องวัดน้ำทุกวัน ค่าพีเอชนิ่งก็อยู่ประมาณถ้าเช้าอยู่ที่ 7.6-8.0 ถ้าช่วงแดดออกหรือช่วงบ่ายก็ประมาณ 8.0 แต่สามารถดูจากตาเปล่าได้ เพราะอาศัยจากประสบการณ์
ส่วนเรื่องโรคก็ไม่เห็นเป็นโรคอะไร ไม่ค่อยมีปัญหาในเรื่องนี้ แต่ถ้าเกิดโรคระบาดก็จะใส่ปูนมาก จากที่เคยใส่ 0.5 ตัน ก็จะใส่ 1 ตัน คือมีความมั่นใจว่าปูนขาวสามารถฆ่าเชื้อโรคได้ แต่คนอื่นก็งงกับเทคนนิคของลุง ส่วนมากก็จะเข้ามาขอคำปรึกษาและคำแนะนำไปใช้ และอีกอย่างที่สามารถสังเกตได้ว่าดูค่าพีเอชตกก็คือ จะสังเกตจากกุ้งว่ากินอาหารดีไหม หรือกุ้งกินอาหารลดลง ก็จะดูจากการลอกคราบของกุ้ง ว่ากุ้งลอกคราบหรือเปล่า ทำไมกินอาหารน้อยลง ถ้ากุ้งไม่ลอกคราบแสดงว่ามีปัญหาแน่นอน ขั้นแรกก็จะหว่านปูนขาวแล้วถ้ากุ้งกินอาหารก็แสดงว่ากุ้งขาดพีเอชและอัลคาไลน์
ทางด้านการลงทุน ก็อยู่ประมาณ 200,000 กว่าบาท แต่ก็แล้วแต่อัตรารอดของลูกกุ้ง บางครั้งถ้าอัตรารอดเยอะๆ ก็ประมาณ 3 ตันกว่าหรือประมาณ 200,000 กว่าบาท ก็สรุปคร่าวๆ ถ้าจับกุ้งประมาณ 3 ตันจะอยู่ประมาณ 200,000 กว่าบาท อัตราเฉลี่ยค่าน้ำมันประมาณ 30,000 กว่าบาท, ค่าอาหาร 100,000 บาท และที่เหลือค่าปูน ค่าวิตามิน ค่าคนงาน ส่วนปูนก็ใช้ไม่มาก ส่วนผลกำไรก็อยู่ที่ว่ากุ้งมีความสมบูรณ์ ถ้ากุ้งสมบูรณ์มากต้นทุนจะต่ำ เพราะกุ้งโตเร็ว อย่างที่ผ่านมาจับได้กำไร 100,000 บาท/บ่อ ใช้เวลาประมาณ 3 เดือนกว่า ราคาอยู่ที่ 90 บาท/กก. แต่ในการเลี้ยงก็ไม่ขาดทุน ถือว่าได้กำไรทุกครอป แต่ได้มากได้น้อยต่างกัน
การที่จะเลี้ยงกุ้งหรือจะประกอบอาชีพอื่นๆ ให้สำเร็จได้ในอาชีพการทำเกษตรกร ก็คือการเลี้ยงกุ้งต้องเลี้ยงด้วยความเอาใจใส่ ศึกษาหาความรู้ให้ดี และอย่าถอยหลัง เพื่อวันข้างหน้าจะประสบความสำเร็จ และมีการนำข้อมูลการเลี้ยงมาประยุกต์ใช้ความรู้ต่างๆ ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ว่ามีระบบการป้องกันที่ดี เพื่อลดความเสี่ยงให้มากที่สุด 

การหาข้อมูลมาประกอบการเลี้ยงก็ต้องสามารถนำแหล่งข้อมูลมาประยุกต์ได้ และต้องดูศักยภาพของพื้นที่ก่อนที่จะเลี้ยง ว่าเหมาะสมที่จะเลี้ยงแบบไหน ความหนาแน่นเท่าไร คุณสมบัติของดินและน้ำเป็นอย่างไร และที่สำคัญอีกย่างคือหาความผิดพลาดของอดีตให้เจอ แล้วนำมาเป็นครูคอยสอน ไม่ควรยึดติดกับสิ่งเก่าๆ ควรจะเปิดรับสิ่งใหม่บ้าง ซึ่งถ้ามองถึงวงการนารเลี้ยงกุ้งหลายคนที่ล้มเหลว และนำความล้มเหลวนั้นมาเป็นบทเรียน และหลายคนก็ประสบความสำเร็จจนถึงปัจจุบัน
ถ้าพูดถึงการเลี้ยงกุ้งให้ประสบความสำเร็จ ไม่ใช่แค่เลี้ยงแล้วใช่แค่ผลกำไรจากการเลี้ยง แต่ก็ต้องมีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมรอบตัวด้วย และมองไปสู่ผลในระยะยาว แต่บางคนก็คำนึงแต่ผลผลิตที่ออกมา จนลืมมองว่าของเสียที่มีมากที่ออกมากับผลผลิตเป็นปัญหาต่อสิ่งแวดล้อมในอนาคต หากคิดจะเลี้ยงกุ้งให้ยั่งยืนก็มาอาศัยและยึดถือตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง ในอัตราการปล่อยกุ้งที่ไม่หนาแน่น ไม่สร้างผลกระทบให้ธรรมชาติ เพียงแค่นี้คุณก็จะประสบความสำเร็จ ทั้งในด้านการเลี้ยงกุ้งและความรับผิดชอบต่อสังคม ทรัพยากรสิ่งแวดล้อม เพื่ออนาคตในวันข้างหน้าของลูกหลานคนไทย

แหล่งที่มา http://www.shrimpcenter.com/